หน้า 1-2-3-4-5-6

The Princess Of Darkness

The Princess Of Darkness
แก้วแห่งความรู้แจ้ง -by The Ink


ตอนที่ 41 ก่อนวันแข่ง
"เครอน แกเป็นอะไรหรือเปล่าวะ"
ดอฟถามหลังจากสังเกตว่าเจ้าตัวแสบตีหน้าบูดมาตั้งแต่ออกเวร ดูยังไงก็ไม่ค่อยสมกับเป็นมันเสียเลย หรือว่าติดเชื้อคนอย่างไอ้คารอสมันมาวะ ก็ไม่น่าจะใช่เพราะถ้าเชื้อมันคงจะแรงกว่าคารอส
เครอนมองเพื่อนอย่างไม่มีอารมณ์ก่อนจะตอบสั้นๆอย่างที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนจากปากมัน
"เปล่า"
ตัวกวนอ้าปากจะถามแต่ก็ต้องหุบปากไปในทั้งทีเมื่อเครอนถลึงมองประมาณว่า ลองถามอีกทีดิ
"ไปเข้าเวรมาเป็นไง" เวล์เซนผู้มาใหม่ถามขึ้นอย่างไม่ประสีประสา "ถูกกษัตริย์อานอสเรียกไปคุยเรื่องอะไรแหละ"
เท่านั้นเองดอฟก็ต้องอ้าปากค้าง ช้อนที่กำลังตักเข้าปากเป็นอันต้องหล่นตุบ
"รู้เร็วดีหนิหว่า" เครอนแยกเขี้ยว
เวล์เซนได้แต่ยิ้มรับคำชมก่อนจะนั่งลงตรงข้ามกับเพื่อนตัวดี สีหน้าของปราชญ์ต้องประหลาดใจเมื่อเห็นจานข้าวของเพื่อนไม่ได้ถูกแตะแม้แต้น้อย ปกติถึงมันไม่ได้ซัดแหลกแต่ก็กินบ้างนี่หน่า
"นายไม่กินข้าวเย็นเลยเหรอ"
"ไม่หิว" เครอนบอกแล้วถอนหายใจ "และก็ไม่มีอารมณ์ด้วย"
โอ้ คนกินข้าวต้องมีอารมณ์ด้วย
ดอฟที่กินเสร็จเป็นจานที่สามขอตัวจากไป ทิ้งให้เวล์เซนและเครอนไว้ตามลำพังที่โต๊ะกินข้าวประจำของปีหนึ่ง
"เรื่องที่ถูกสั่งให้เลิกยุ่งกับไอ้คารอสสินะ" เวล์เซนพูดขึ้นลอยๆ แต่เรียกความประหลาดใจจากเจ้าตัวแสบได้อย่างดี
"นายรู้"
"ใช่สิ" เวล์เซนหัวเราะ "นายไม่ใช่คนเดียวหรอกที่โดนคิงอานอสเรียกตัวไป เมื่อวานเจ้าโซรามอสก็โดนมาเหมือนกันส่วนฉันพึ่งโดนกลับมาเมื่อกี้เอง" เขายักไหล่ "แต่ท่าทางนายจะโดนมากที่สุดเพราะอยู่ห้องเดียวกับมันสินะ คิงอานอสเป็นคนเจ้าระเบียบแล้วก็ชอบใช้อำนาจลิขิตชีวิตคนอื่นที่สุด"
"เหอะๆ" เครอนหัวเราะแห้งๆ "แล้วนายว่าไง โดนว่าเรื่องไรบ้าง"
"ก็โดนแค่ให้เป็นเพื่อนเฉยๆ ห้ามใกล้ชิดเหลือชักจูงก็เท่านั้น ส่วนนายนะสิโดนแรงที่สุด ห้ามยุ่งเลยใช่ไหม" เวล์เซนกล่าวพร้อมกับจิบชา "แล้วนายจะเอาไง เลิกยุ่งกับไอ้คารอสจริงๆหรือ"
"ฝันไปเหอะ" เครอนตวาด "คนอย่างฉันไม่ใช่เบี้ยที่คิงอานอสจะสั่งให้เดินก็เดินได้นะเฟ้ย ถึงจะไม่มีหัวนอนปลายเท้าแต่ก็ไม่ใช่คนอย่างจอมเวทย์หน้าโง่ที่โคตรโง่ให้โดนหลอกอย่างไอ้คารอสนะเฟ้ย"
……ฮัดเช้ย……
เจ้าจอมเวทย์หน้าโง่ในคำพูดยืนถัดจากโต๊ะพวกเขาไปเพียงสองโต๊ะถึงกับจามออกมาโดยไม่ทราบสาเหตุ แต่นั้นไม่ใช่สิ่งที่แย่สุดๆเท่า
"คารอส เป็นหวัดเหรอ" เจ้าหญิงริสโซเรียรีบปราดมาทันที
บุรุษฉายา เจ้าชาย กับ สตรีฉายา เจ้าหญิง แห่งริสมาฟอรัส ดูภายนอกก็เข้ากันดีเพราะสายเวทย์ขอยอมรับว่าเจ้าหญิงแห่งนอร์เบอรินเป็นคนหน้าตาอยู่ในขั้นสาวงาม แต่ไอ้นิสัยผู้ดี๊ผู้ดีชนิดที่หวีผมเองไม่เป็นนี่เล่นเอานักเดินทางที่เกลียดสังคมผู้ดี แดงจะผดขึ้น
คารอสจึงจำต้องมีปลิงทะเลเกาะติดเดินมายังโต๊ะของสองเพื่อน
"โซรามอสไม่มาเหรอ" คารอสถามพร้อมกับนั่งลง มือที่ยังวางพยายามแกะปลิงออกจากตัว
"ยัง วันนี้มันซ้อมดาบ" เวล์เซนเป็นผู้ตอบ

พรุ่งนี้คือวันแข่งขันจริงของโรงเรียนแล้วสินะ เพราะเขามั่วแต่ก้มหน้าก้มตาทำงานงกๆแล้วไม่ได้สังเกตว่าเหลือเวลาอีกกี่วัน เครอนที่เฝ้ารอแล้วรออีกอยากดูการแข่งเร็วๆเป็นอันต้องฝันพังทลายเมื่อตารางเวรคุ้มกันกษัตริย์บอกว่าเขาต้องเฝ้าหน้าประตูช่วงกลางวัน ซึ่งเป็นช่วงเวลาของการแข่งขันพอดี
นรกชังหรือสวรรค์แกล้งกันแน่เนี่ย
"แล้วนายอะ ซ้อมเวทย์เสร็จแล้วเหรอ" เครอนหันไปถามคารอส
"อะไรยะ" ริสโซเรียตะโกนอย่างไม่พอใจ "คนอย่างคารอสไม่ต้องฝึกแล้ว พวกฝีมือชั้นลงๆอย่างนายคอยดูอย่างเดียวดีกว่าอย่ามายุ่งกับพวกระดับชั้น"
เอาเข้าไปๆ เจ๊แกจะมั่นอกมั่นใจเสียเหลือเกินนะ
"องค์หญิงริสโซเรียพูดเกินไป" คารอสว่าขึ้นน้ำเสียงเฉยชาอย่างเดิม "ถึงจะเป็นจอมเวทย์ก็ต้องฝึกซ้อม" สายตาหันสบมองมาก่อนจะตอบคำถาม "วันนี้ฉันซ้อมเสร็จแล้ว"
"อย่างนั้นก็ดี" เวล์เซนพูด สายตาที่กำลังยุ่งอยู่กับการจัดการน้ำแข็งใส่แก้วเหลือบขึ้นมอง "จะได้มาเป็นคู่เดินหมากกับฉันหน่อย ครั้งที่แล้วยังไม่รู้ผลเลยไม่ใช่เหรอไง"
"ยังไงก็ได้อยู่แล้ว"

สิ้นเสียงจอมเวทย์ก็เสกกระดานหมากรุกขึ้นจากธาตุลม สายลมเบาๆพัดผ่านใบหน้าของคนร่วมโต๊ะมาก่อตัวเป็นพื้นกระดานแล้วก็ตัวหมากที่จุดเรียงไว้อยู่เป็นระเบียบ ฝั่งที่ฟ้าของเวล์เซนและฝั่งสีขาวที่เป็นของคารอส กระดานที่ประหลาดที่สุดก่อตัวจากธาตุแห่งความว่างเปล่าเป็นการบอกถึงระดับการใช้เวทย์ชั้นสูงเรียกความสนใจจากนักเรียนคนอื่นๆในห้องอาหาร

ได้เป็นอย่างมาก

เดินหมากงั้นเหรอ เครอนขมวดคิ้ว
"น่าเบื่อ ไปหอสมุดดีกว่า" ว่าแล้วเจ้าตัวแสบก็หาวกว้างก่อนจะเดินฝ่ากลุ่มคนดูที่รุมล้อมออกจากห้องอาหารไปอย่างยากรำบากอย่างแรง

หอสมุดช่วงเย็นเป็นช่วงที่คนน้อยที่สุดเนื่องจากตั้งออกกฏให้เข้าหอก่อน3ทุ่มทำให้นักเรียนที่กินข้าวเสร็จส่วนใหญ่ตัดสินใจเข้าหอเลยมากกว่ามาเดินเล่น

ใครๆก็ไม่เคยคิดฝันว่าคนอย่างตัวแสบจะชอบอ่านหนังสือ แต่มันก็เป็นจริงไปแล้ว เครอนชอบอ่านหนังสือมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ช่วงไหนว่างๆก็จะมาขลุกอยู่ที่หอสมุดบ่อยๆจนกลายเป็นสมาชิกวีไอพีของหอสมุดไปเสียแล้ว
"ไงเครอน" รุ่นพี่บรรณารักษ์ทักเมื่อเขาเดินผ่านโต๊ะ
"สวัสดีครับ" เครอนยิ้มทักก่อนจะเดินหายเข้าไปในชั้นหนังสือสูง

ห้องแรกที่เขาก้าวเขามาในการสอบเข้าเรียนที่นี่คือห้องนี้ ห้องกว้างมหึมาที่มีชั้นหนังสือสูงจรดเพดานที่น่าจะสูงเกินกว่า10เมตรมีบันไดให้ปีนขึ้นไปหยิบหนังสือ หมวดต่างๆกว่า30หมวดและจำนวนหนังสือกว่าล้านเล่มที่ไม่เคยมีใครอ่านได้หมดจนครบ โต๊ะยาวตั้งแต่หน้าไปสุดห้องมีนักเรียนนั่งอยู่บางทลามกลางความเงียบสงบสมเป็นหอสมุดใหญ่

แต่การจัดเรียงหนังสือเรียงจากความหนาและหนัก ถ้าใหญ่มากก็ไว้ด้านล่างๆ ส่วนพวกบางๆก็อยู่บนๆ เครอนค่อยๆปีนขึ้นบันไดยาวไปหยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมาจากชั้น หนังสือที่ไม่ได้ใหญ่หรือเล็กเกินไปแต่เป็นขนาดที่พอดีๆมือ หัวเรื่องเกี่ยวกับตำนานและประวัติศาสตร์ของโรงเรียนแห่งลีฟ

"เครอน" เสียงหนึ่งเรียกเบาๆเมื่อเขาเดินออกมาจากส่วนชั้นหนังสือ รุ่นพี่เจอลาวัตโบกมือให้ไปมาพร้อมกับยิ้มอย่างอารมณ์ดีแบบที่ทำประจำ
"ไงครับพี่" เครอนกล่าวทักพร้อมกับนั่งลงที่เก้าอี้ข้างๆรุ่นพี่ "มาหาหนังสืออ่านเล่นเหรอ"
"มาหางานทำรายงานส่งอาจารย์" เจอลาวัตว่าพลางเปิดหนังสือเล่มใหญ่ในมือต่อไป ระหว่างที่ปลายปากกาจรดอยู่บนกระดาษรอจดงาน
"เหรอ"
"ว่าแต่นายเถอะ ได้ข่าวว่าไปหาเรื่องคิงอานอสมาจริงเหรอ"
เครอนหัวเราะแห้งๆ
"มันเป็นอุบัติเหตุเฉยๆ"
"งั้นเหรอ" เจอลาวัตยิ้ม "ข้อหาตัดหน้าขบวนควบตะโกนใส่หน้ากษัตริย์แถมเหยียบพระบาทอีก สามกระทงเป็นอุบัติเหตุด้วย"
เครอนยิ้มตอบแห้งๆให้รุ่นพี่
"นี่อะไรหรือครับ" เครอนเปลี่ยนเรื่องด้วยกระดาษที่อยู่ข้างๆรุ่นพี่ กระดาษที่ดูจะเก่ากว่าแผ่นอื่นๆเพราะริมขอบมีรอยแหว่งและขึ้นสีเหลืองกรอบ
เจอลาวัตสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะรีบเก็บกระดาษเข้าไปรวมกับกองรายงาน
"ไม่อะไรหรอก แค่รายงานที่ยังเสร็จ" ก่อนที่ร่างสูงจะลุกขึ้น "พี่ขอตัวก่อนนะ"
รุ่นพี่สายเวทย์เดินจากไปอย่างรวจเร็จทิ้งให้เครอนอ่านหนังสืออย่างสงบเพียงลำพัง


ตอนที่ 42 แปลงโฉม
…..เฮ……
เสียงเชียร์ดังก้องจากสนามประลองบ่งบอกถึงความสนุกสนานและน่าตื่นเต้น ลานใหญ่ที่สร้างจากธาตุดินลอยอยู่เหนือพื้นดินด้วยการค้ำจุนจากธาตุวายุพร้อมด้วยอัฒจรรณ์ขนาดมหึมาที่รอมรอบสนามจุจำนวนคนดูที่หลั่งไหลมาจาก

ทั่วทั้งอาณาจักรลีฟ หรือบางที่อาจมาจากมหาราชอาณาจักรเดทด้วย
เสียงที่แสนจะสนุกสนานนั้นหาไม่ว่าดังมากระทบใจใครบางคนที่ต้องนั่งเหงาอยู่เพียงลำพังข้างๆประตูโค้งใหญ่งดงามจากทองคำแท้ที่ต้องยืนอยู่เพียงลำพัง
ยาม
หน้าที่ของเครอน ทันเรอเรน คือยามดีๆนั้นเอง ระหว่างที่คนอื่นกำลังสนุกกับการประลองด้านล่างนั้นเขากลับต้องมาเฝ้าห้องเปล่าๆห้องหนึ่งด้วยเพียงเหตุผลว่า
กลัวของหาย
ทั้งเพื่อนๆ รุ่นพี่ คณะอาจารย์หรือแม้แต่กษัตริย์แห่งโครนอสยังมีเวลามาดูการประลองแต่ทำไมเขาจึงต้องนั่งเฝ้าอยู่เพียงลำพังหน้าประตูห้องพักของกษัตริย์กันเล่า เขาเองก็อยากลงไปสนุกกันคนอื่นๆบางก็เท่านั้นเอง
ยิ่งคิดยิ่งน้อยใจ เครอนถอนหายใจให้ตัวเองก่อนปลอบใจตัวเองไปพลางๆ
"อยากดูชะมัด" เครอนอดบ่นออกมาไม่ได้
ใช่ แม้จะพยายามหาเหตุผลที่เขาต้องมาเป็นนักเรียนเพียงคนเดียวที่ไม่มีโอกาสได้ดูการแข่งมากมายสักเพียงใด แต่ความขับข้องใจก็ยังฝังแน่น
ในเมื่อยากดูก็ไปดูสิ เสียงหนึ่งในใจดังขึ้น
รอยยิ้มอย่างมีชัยฉีกกว้างบนใบหน้าของตัวแสบพร้อมๆกับความคิดดีๆที่ปิ๊งเข้ามาในหัวจอมวางแผน
เครอนกระโดดลุกขึ้นจากเก้าอี้นั่งก่อนจะเริ่มร่ายเวทย์เบาๆจนแทบจะไม่ได้ยิน โดยปราฎจากคทาร่างทั้งร่างของเจ้าตัวแสบเริ่มมั่วราวกับเงารางก่อนจะค่อยๆแยกออกจากกันช้าๆ คาถาร่างจบเครอนที่ยืนอยู่ที่ตำแหน่งเดิมข้างๆคือเครอนอีกคนที่หน้าตาเหมือนกันชนิดที่ไร้ซึ่งข้อเปรียบเทียบ ทั้งใบหน้า รูปร่าง รอยยิ้มหรือแม้แต่แววตาก็เหมือนทุกระเบียบนิ้ว
แยกร่าง
มนต์ชั้นสูงที่เขาถนัดรองจากการแปรงร่าง รับรอง ต่อให้ไอ้คารอสมาเองก็ไม่มีทางจับได้หรอก
เครอนตัวต้นแบบยืนมือไปจัดเน็กไทของตัวก๊อป...ให้ ก่อนจะถอยออกมาเดินสำรวจรอบตัวปลอมที่เขาสร้างขึ้นพลางยิ้มกับผลงานของตัวเองอย่างพออกพอใจยกใหญ่
"อืม ใช้ได้ๆ" เครอนตัวจริงว่า "นายเฝ้ายามแทนฉันก็แล้วกันนะ"
"แล้วนายอะจะไปไหน อู้งานอีกล่ะสิ" อีกคนถามห้วนๆ กวนบาทา
มันไม่ใช่แค่หน้าตาแต่เอานิสัยเหมือนเปี๊ยบมาด้วย
"ไปเที่ยว" เครอนยิ้มพร้อมกับวิ่งจากไป ทิ้งให้คนที่ก๊อป...ไว้เฝ้ายามแทน

โอเค ทางปลอดคน เครอนคิดในใจพร้อมกับเดินไปตามระเบียบทางเดินที่แต่ก่อนจะคับคลั่งไปด้วยนักเรียนมากมายแต่วันนี้เรียกได้เลยว่า ปราสาททั้งหมดกลายเป็นปราสาทร้างไปในพริบตาเพราะผู้คนออกไปดูการแข่งด้านนอกกันจนหมด ทางจึงเปิดสะดวกสำหรับเครอน ทันเรอเรน ให้เดินฮัมเพลงเล่น
ออกไปในร่างนี้ไม่ได้ ต้องแปลงร่างก่อน

แต่คงไม่ใช่เรื่องง่ายๆที่เขาจะแปรงร่างเป็นใครก็ได้ เพราะถ้าเกิดบังเอิญไปเจอคนที่ตัวเองเอาร่างมาเป็นต้นแบบในการแปลงแหละก็ ซวยแหลกแน่งานนี้
เมื่อคิดแล้วคิดอีกอย่างรอบคอบเจ้าตัวก็ร่ายเวทย์ที่ถนัดเพียงไม่นานร่างเก่าก็เปลี่ยนไป ผมสีน้ำตาลทองคอยๆเป็นสีเงิน ดวงหน้ากลายมาเป็นหญิงสาวช้าๆ เมื่อร่ายเสร็จเครอนค่อยๆเดินไปดูยังกระจกบานใหญ่ข้างๆระเบียงทางเดิน

ภาพที่มองกลับมาคือ หญิงวัยกลางคนอายุราวๆ30เกือบๆ40ปี รูปร่างเล็กเรือนผมยาวถึงเอวสีเงินอมขาวๆบ่งบอกถึงวัยที่เริ่มร่วงโรย ดวงตาน้ำเงินอมฟ้าภายใต้ใบหน้าที่เริ่มเยี่ยวย่น เครอนสำรวจตัวเองในกระจกไปมาอย่างไม่ค่อยพอใจก่อนจะเปลี่ยนอายุให้ตัวเองไปเป็นหญิงชราวัย50กว่าๆแทน ผมสีเงินมีผมขาวมาแกม ผิวหนังย่นลง เจ้าตัวยิ้มอย่างพอใจในผลงาน เหตุผลของการเปลี่ยนร่างนั้นก็ไม่ใช่อื่นไกล

ในกรณีที่ไม่มีที่นั่ง นักเรียนหรือแม้แต่ประชาชนริสมาฟอรัสทั้งหลายคงจะมีความเป็นคนดีพอ
โปรดเอื้อเฟื้อที่นั่งแก่ เด็ก สตรีมีครรภ์ และคนชรา

จะเป็นเด็กมันก็กระไรอยู่ เดี๋ยวคนเขาจะหวังดีนึกว่าหลงทางแล้วพากลับบ้านให้ก็ซวยอดดู จะเป็นสตรีมีครรภ์ก็เกินไปหน่อยถ้าผู้หญิงท้องจะมีเชียร์การแข่งคงแปลกพิลึก ตกลงว่าคนชราดีที่สุด
"เหลือเรื่องเสื้อผ้า" เครอนว่าขึ้นพร้อมกับดูเสื้อผ้าตัวเอง

แม้แต่เวทย์แปลงร่างจะเก่งกาจแค่ไหนก็คงเปลี่ยนแม้กระทั้งเสื้อผ้าที่ใส่อยู่ไม่ได้ หญิงชราจะใส่ผ้าเสื้อนักเรียนชายสายเวทย์แห่งความมืดออกไปดูการแข่งคนได้ออกทีวีว่า

'คุณป้าทันสมัย นำแฟชั่นย้อนวัยเครื่องแบบนักเรียน' เป็นแน่
เขายังไม่อยากนำแฟชั่นขนาดนั้น รับรองได้ออกเรื่องเล่าเช้านี้ชัวๆแบบนี้

ความคิดอันชาญฉลาดแล่นเข้ามาในหัวอันโตๆอีกครั้ง เครอนในร่างหญิงแก่ยิ้มพลางวิ่งเต็มเหยียดแบบที่คนเห็นเป็นต้องอึ้ง เมื่อคนรุ่นย่าๆไม่เจียมสังขาลเล่นวิ่งซะจนน่าจะจับไปเป็นนักวิ่งทีมชาติ แวบเดียวก็ข้ามฟากมายืนอยู่หน้าห้องพักสายนักบวชที่หอของสายนักบวชเรียบ

ร้อยแล้ว ระยะทางจากปราสาทขาวที่เป็นที่พักของจ้าวอานอสฝั่งตะวันตกมายังหอที่อยู่สุดปราสาทแดงทางตะวันออกก็ราวๆเกือบกิโล

ตัวแสบเปิดประตูหอเข้าไปอย่างสบายๆใจ หอนักบวชหรือตำหนักตะวันออกเป็นหอที่ยกย่องว่างดงามที่สุดในบรรดาหอทั้งสี่ ห้องโถงของสายเวทย์คือห้องสูงลิ่วมีโดมกระจกอยู่บนสุดส่วนด้านล่างก็คือชุดโซฟานั่งเล่นหลายสิบชุด และก็เตาผิงจำนวนมากคอยให้ความอบอุ่นยามฤดูหนาว แต่ของสายนักบวชแตกต่างออกไป ห้องเพดานไม่สูงมากแต่กลับทำเป็นโบสถ์ทั้งห้อง เก้าอี้ยาวเรียงกันเป็นแถวๆตรงสุดห้องคือกางเขนใหญ่ล้อมรอบด้วยดอกไม้สดที่รอบอยู่รอบๆแท่นสวดบูชาที่ฐานของไม้กางเขน อีกด้านหนึ่งไม่ไกลนักคือออร์แกนใหญ่ที่ใช้บรรเลงยามร้องเพลง

บรรยากาศอันศักดิ์สิทธิ์ของสายนักบวช เครอนค่อยๆเดินไปตามทางเดินกว้างตรงสู่แท่นบูชา แสงอาทิตย์ยามบ่ายรอดผ่านกระจกหน้าต่างโบสถ์ที่ลงภาพเรื่องราวต่างๆทางศาสนาไว้สะท้อนราวกับต้อนรับการมาเยือน

"ผมแค่จะมาขอยืมเสื้อชั่วคราว ไม่ได้มีเจตนาร้าย" เครอนกล่าวกับกางเขนอันเป็นตัวแทนของพระผู้เป็นเจ้า

ก่อนที่จะนำร่างชราของตัวเองไปยังประตูใหญ่ที่กำแพงตรงข้ามกับออร์แกน อีกห้องที่ดูไม่ต่างจากห้องแรกมากนักเพียงแต่เป็นโต๊ะหนังสือเป็นชุดๆพร้อมกับชั้นหนังสืออยู่รอบๆห้อง หนังสือที่เกี่ยวข้องกระศาสนาทั้งใหญ่เล็กมีอยู่มากมาย ห้องนี้เลยดูเมื่อห้องสมุดแม้จะแล็กกว่าของสายเวทย์แต่ก็น่าอ่านเล่นไม่เบา

เครอนยิ้มแล้วยิ้มๆ ก่อนจะก้าวขึ้นบันไดไปยังห้องพักที่เป็นเป้าหมายครั้งนี้

ห้องอาจารย์ผู้หญิงสายนักบวชคือเหยื่องานนี้ของเจ้าตัวแสบ ห้องที่อยู่บนสุดของหอที่ไร้ซึ่งคนเครอนหยุดตรงหน้าห้องแล้วค่อยยื่นมือไปบิดลูกบิดประตู
ล็อก
ห้องล็อกด้วยกุญแจธรรมดาไม่ใช่ด้วยพลังเวทย์ รอยยิ้มมุมปากของเครอนกระตุกขึ้นก่อนเจ้าตัวจะร่ายเวทย์ง่ายๆแต่ยากแสนอยากสำหรับนักเรียนปีหนึ่งเข้าใหม่ ชั่วพริบตาเสียงกลอนปลดออกดังกึกเจ้าตัวแสบจึงเปิดเข้าไปอย่าง่ายดาย

เครอนเปิดตู้เสื้อผ้าออกมาพร้อมกับหยิบเสื้อชุดหนึ่งมาเปลี่ยนอย่างรวจเร็ว ไม่นานหญิงแก่ก็ดูสมเป็นหญิงแกเรียบร้อยแล้ว เขาจึงเสกเวทย์ลวงตาใส่เสื้อตัวเก่าให้ล่องหนก่อนจะใส่ไว้ในเสื้อคลุมสีเทาแก่ๆที่สวมอยู่
"เรียบร้อย"
เครอนส่งเสียงอย่างปิติดีใจสุดขีด แต่ฟังดูฮามากกว่าเพาะสำเนียงเสียงแก่ๆที่ออกมาจากปากดูไม่เข้ากันซะเลย แถมเจ้าตัวแสบยังมีการแอ็กท่าชูสองอีก สภาพคนแก่ที่ไม่สมกันเสียเลยถ้ามีคนมาเห็นคงได้เป็นข่าวประมาณว่า
ของแปลกแห่งชาติ
"เอาล่ะ ได้เวลาลุยแล้ว" เครอนพูดก่อนจะวิ่งออกไปยังสนามที่กำลังดุเดือดเลือกพล่านยังลานหน้าโรงเรียน


ตอนที่ 43 ศึกดาบปีหนึ่ง ปะทะ ปีสี่
……..เคร้ง……
เสียงปะทะดาบดังสนั่งหวั่นไหวของสองนักสู้บนเวทีประลองพอๆกับเสียงเชียร์แต่ละฝากสนามกึงก้อง โดยไม่มีใครสังเกตุเห็นหญิงชราในชุดสีเทานั่งอยู่บนที่นั่งชั้นหนึ่งเลยแม้แต่น้อย
เป็นไปตามแผน
เครอนยิ้มๆให้กับแผนเรียกความสงสารของตัวเอง พอเดินผ่านชั้นผู้ชมวีไอพีปุ๊บก็แกล้งล้มเป็นลมปั๊บ เหอะๆที่นั่งชั้นนี้มีหรือจะหลุดมือ เมื่อพวกเด็กสาวข้างๆเห็นก็รีบกุรีกุจอลุกที่นั่งให้ทันที ฉลาดไหมล่ะ
"โซรามอส อีกเดี๋ยวนายก็แข่งแล้วนะ เตรียมตัวได้แล้ว" เวล์เซนกล่าวพร้อมๆกับยื่นชุดประลองประจำชั้นปีหนึ่งให้กับเพื่อนซี้ที่เอาแต่นั่งเท้าคางอยู่ในกระโจมที่พัก
"นายมาได้ไง" โซรามอสถามตาโต "นายแข่งหมากรุกไม่ใช่เหรอ"
"แพ้แล้ว" เวล์เซนตอบสั้นๆพลางยักไหล่
"แพ้?" โซรามอสทวนคำ "ได้ไง"
"ก็ไม่แปลกอะไร แค่ฝีมือสู้พวกรุ่นพี่ปี5ไม่ได้ก็เท่านั้นเอง ไม่แพ้ก็ชนะไม่เห็นมีอะไรมาก" เวล์เซนไม่ใส่ใจ "เอาแค่นายเหอะ ชนะให้ได้ก็แล้วกัน

ฉันจะรอเชียร์ ว่าแต่ว่า"เขาเลิกคิ้ว "นายมั่วเม่ออะไรมาตั้งแต่เช้าเนี่ย"
ตัวแทนนักดาบหัวเราะก่อนจะตอบคำตอบที่สร้างความงงแกคนฟังเป็นอย่างมาก
"สงสารไอ้เครอน"
"อะไรนะ"
"สงสารมันเรื่องที่มันไม่ได้มาสนุกกับคนอื่นๆเค้า ถูกกักตัวเฝ้าอยู่แต่บนนั้นมันคงเคืองไม่เบา"
"ฉันก็ว่างั้น" เวล์เซนยิ้ม ก่อนจะส่งเครื่องแบบให้เพื่อนรักที่มัวแต่ห่วงเพื่อน "รีบเปลี่ยนเสื้อซะ จะถึงตานายแล้ว ไม่ชนะระวังโดนไอ้เครอนกับฉันเฉ่งเอานะเฟ้ย"
"อืม" โซรามอสยิ้มรับก่อนจะรับเสื้อมาเปลี่ยน

เสื้อประลองประจำชั้นปีเป็นเสื้อคลุมที่คณะอาจารย์ใช้ให้ตอนรายงานตัวขึ้นสนามกับตอนรับรางวัล ทำมาจากผ้าเนื้อนุ่มใส่สบายสีน้ำเงินกรมท่ามีตราโรงเรียนปักด้วยดิ้นสีเงินทางอกขวาส่วนทางปกซ้างก็ปักด้วยดาวสีทองหนึ่งดวงแสดงว่า

เป็นนักเรียนชั้นปีหนึ่ง ส่วนตอนประลองก็ถอดเก็บไว้

"คู่ประลองต่อไป เซอร์โซรามอส อีฟเซอรัส แห่ง ทาร์รอส ตัวแทนนักเรียนชั้นปีหนึ่ง กับ เซอร์อังมาร เทราลิฟิน แห่ง ทาร์รอส ตัวแทนนักเรียนชั้นปีสี่ กรุณามารายงานตัวที่ข้างสนามประลองด้วย"
เสียงประกาศดังเรียกคู่ประลองต่อไปดังขึ้นไม่นานหลังจากเสียเวลาจัดการกับคาบเลือดบนเวทีจนหมดเรียบร้อย เสียงที่เครอนแทบอยากจะโดดไปตะโกนเชียร์พร้อมกับคนอื่นๆถ้าไม่ติดที่ยังเตือนตัวเองได้ว่าอยู่ในร่างใด
โซรามอสเดินเข้ามาในโต๊ะรายงานตัวช้าๆแต่มั่นคงข้างๆคือเวล์เซนที่ดูมาดเป็นผู้ใหญ่เหมือนเดิม แค่เห็นเครอนแทบจะตะโกนแหกปาก
'เพื่อนผม เพื่อนผมเอง' แข่งกับเสียงโห่ร้องเชียร์
ไม่ห่างจากโซรามอสมากนัก เซอร์อังมารเม่อมองคู่ต่อสู้ไม่วางตาเป็นแนวหยั่งเชิง มือที่มีกล้ามเป็นมัดๆมีดาบใหญ่ถืออยู่ในมือ ขนาดแม้จะไม่ยาวมากแต่ก็ใหญ่พอที่แรงทำลายดาบเดียวเรียบ เครอนที่ดูอยู่ห่างๆ ถึงกับกลืนในลายแทนเพื่อน เมื่อในมือของโซรามอสดูจะเล็กและยาวกว่าอยู่หน่อย แต่หุ่นมันกล้ามก็ไม่มีสักลูกจะเอาอะไรไปสู้แรง...บบเซอร์ปี4นั้น
หลังจากลงทะเบียนสองนักดาบรุ่นน้องรุ่นพี่ก็ก้าวขึ้นสนามประลองดาบที่ลอยฟ้าอยู่เหนือพื้นดินเล็กน้อยเพื่อนให้ผู้ชมทุกคนเห็นได้ชัด
เครอนที่จิตใตห่อเหี่ยวยังดีใจอยู่หน่อยเพราะสายตาแกมโกงอันเฉียบแหลมของตัวเองนั้นเลือกที่นั่งได้บิงโกที่สุด เรียกได้ว่าตำแหน่งที่เห็นฉายบนสนามได้ชัดเจนที่สุดก็ว่าได้
"ตรงนี้ขอนั่งได้ไหมครับ" เสียงคุ้นๆถามเบาๆ
เครอนรีบหันกลับไปเจอใบหน้าของเวล์เซนเพื่อยซี้ที่ยืนอยู่ข้างๆ เขาพยักหน้าให้แทนคำตอบเด็กหนุ่มในชุดนักเรียนเลยนั่งลงข้างๆพร้อมๆกับกล่าวขอบคุณตามมารยาท
"คุณป้ามาดูหลานเหรอครับ" ปราชญ์ผู้รอบรู้เปิดสนทนา
ไอ้บ้า มาหาว่าฉันเป็นป้า
"ใช่จ๊ะ" เครอนกล่าว เสียงที่ออกมาแก่ตามคาถาแปลงร่างที่ร่ายไว้
"หลานอยู่สายไหนเหรอครับ"
"เออ" เครอนงงก่อนจะตอบมั่วๆไป "สายนักบวช สายนักบวช"
เจ้าตัวไม่ลืมหัวเราะแห้งๆ

"เริ่มการแข่งได้" เสียงประกาศเริ่มดังช่วยชีวิตเครอนก่อนที่สายตาของเจ้าปราชญ์เพื่อนซี้จะจับได้ เวล์เซนยุติการสนทนาหันไปดูการแข่งขันแทน

เซอร์อังมารกวัดแกว่งดาบใหญ่ไปมาเป็นเชิงขู่แต่โซรามอสกับไม่ได้สนใจมากนัก ดาบจากนักเรียนปีหนึ่งรุ่นน้องยกขึ้นสู่ท่าเตรียมพร้อมสู้ รุ่นพี่ที่เสียฟอร์มจากการขู่ไม่ได้ผลเป็นอันหมดฟิวส์

ชั่วพริบตาดาบใหญ่จากอังมารก็พุ่งแนวตรงเข้าปะทะรุ่นน้องด้วยแรงที่ไม่อ่อนข้อหวังใช้โอกาสการโจมตีก่อนน็อกในดาบเดียว แต่โซรามอสกระโดดหลบดาบพร้อมกับหมุนตัวกวาดดาบเข้าที่เอวด้านขวาของรุ่นพี่ อังมารที่เกือบเสียท่าหลบดาบที่สวนมาได้ทันแต่ก็เฉียดๆเท่านั้น เลือกสีแดงสดไหลซิบๆออกมาจากปากแผลที่เกิดด้วยคมดาบรุ่นน้องวัยกระเต๋าะชั้นปีหนึ่ง

โจมตีก่อนนับว่าได้เปรียบมาก แต่ถ้าสุมสี่สุมห้าไปก็เป็นผลเสียพอกัน

อังมารคาดคะเนฝีมือรุ่นน้องต่ำไป และการพุ่งดาบแนวตรงแสดงว่ามั่นใจในฝีมือเต็มที่เอาแบบดาบเดียวกะจัดการปิดเกมส์

โซรามอสและอังมารเริ่มตะลุมดาบกันไปมาทั้งรับทั้งรุกพลัดกัน ยิ่งนานยิ่งน่ากลัวเพราะแรงดาบของอังมารนั้งแรงเหนือกว่าของโซรามอส แม้จะเหนื่อยอ่อนแรงก็ยังมากกว่าอยู่ดี

แต่แววตาของเซอร์รุ่นพี่กลับดูมีแววอาฆาตแค้นแฝงอยู่ แววตาที่เครอนสังเกตได้
"ทำไมเซอร์อังมารถึงได้ดูแค้นโซรามอสนักนะ" เครอนพึมพำ
"เพราะตระกูลสองตระกูลนี้ไม่ถูกกันครับ" เวล์เซนตอบ "ทาร์รอสเป็นเมืองแห่งนักรบ แต่ละตระกูลจะต้องประลองชิงดีชิงเด่นกันเพื่อนในชื่อเสียงและเกียติยศแก่ตระกูลตน บางทีอาจได้ชื่อจนเลื่อนยศด้วย"
"มิน่า" เครอนว่า "แล้วยามรบจะสามัคคีได้ยังไง"
"ทาร์รอสแม้ตระกูลจะไม่ถูกกัน แต่ขอเพียงกษัตริย์สั่งรบเมื่อไหร่ทั้งประเทศก็จะลุกฮือมาร่วมรบอย่างแน่นอน เพราะสายเลือกนักรบที่มีเต็ม

เปี่ยมอยู่ในตัวครับ"

เสียงดาบกระทบกันดังรั่วบอกถึงฝีมือของสองทายาทตระกูลนักรบ ลีลาท่าฟันดาบต่างกันตรงที่อังมารมักเป็นฝ่านรุกโจมตีใส่มากกว่าการ

ยอมเป็นฝ่ายรับ ความได้เปรียบเห็นๆ โซรามอสใจเย็นอ่านวิถีดาบคอยรับอย่างเดียวเพื่อรอคอยโอกาสที่อีกฝ่ายจะเปิดช่องโหว่ และโอกาสก็มาถึง อังมารที่เน้นรุกเริ่มเหนื่อยอ่อนหลังจากทุ่มดาบหนักหลายรอบติดต่อกันโดยไม่ได้พัก โซรามอสก็เป็นฝ่านรุกขึ้นแทนที

คมดาบในมือแกว่งอย่างรวจเร็วไปยังไหล่ขวาของรุ่นพี่ปี4 อีกฝ่ายตั้งท่ารีบรับได้แต่ก็ติดกับเมื่อดาบของโซรามอสเปลี่ยนทิศพุ่งไปปัดดาบใหญ่ให้กระเด็นหลุดมือแทน

เล่ห์กลการรบ หนึ่งในวิธีการวางแผนอันแสนฉลาดที่นักดาบสมควรมี ทำลายความเชื่อของพ่อมดบางคนที่ว่านักรบที่มักไม่มีสมองไปอย่างสิ้นเชิง

"ท่านแพ้แล้ว รุ่นพี่" โซรามอสว่าขึ้นปลายดาบจ่อที่คอหอยของอีกฝ่าย

เป็นการปิดเกมส์ที่นับว่าเป็นชัยชนะแรกแก่นักเรียนปีหนึ่ง แม้จะไม่ได้เป็นรอบชิงชนะเลิศแต่โซรามอสก็ผ่านเข้าไปรอบรองชนะเลิศเรียบร้อยแล้ว เครอนลุกขึ้นปรบมือให้เกียติแก่สองนักดาบตามมารยาท ก่อนที่เวล์เซนจะรุดจากไปพาโซรามอสไปให้คารอสรักษาบาดแผลที่กระโจมใหญ่ของปีหนึ่ง
สายตาของเครอนในร่างหญิงชรามองตามเพื่อนทั้งสองไป
"แกแน่มาก โซรามอส" เครอนยิ้มเมื่อแผ่นหลังของทั้งสองอยู่ไกลเกินจะได้ยิน "นายเองก็ด้วย เวล์เซน"


ตอนที่ 44 การประชุมของทั้งสิบสอง
"โอ้ย" โซรามอสแหกปากลั่นเมื่อโดนหัวหน้าแพทย์มาดมากใส่ยาเข้าให้เต็มแรง "เบาหน่อยสิวะคารอส"
สายตาเฉยชาสบขึ้นมองอย่างเบื่อๆ
"แผลนายมันต้องใส่ยาก่อนร่างเวทย์ไม่งั้นอาจจะเน่า" คารอสว่า "แล้งวไปทำอะไรมา แผลมันถึงได้ลึกแบบนี้"
"ก็ไปประลองพึ่งเสร็จมา รุ่นพี่ดาบหนักชะมัด"
"นายอะเวล์เซน" คารอสเอ่ยถามเพื่อนอีกคนที่กำลังนั่งเม่ออยู่แต่มือยังคงทำแผลต่อ
"เฮ้ เวล์เซน" โซรามอสเรียก
ไม่มีสัญญาณตอบรับจะชื่อที่ท่านเรียก
"เฮ้ย ไอ้เวล์เซน" สองเสียงประสานพร้อมเพรียงจนคนถูกเรียนสะดุ้งโหยง
"อะไร" เวล์เซนมองเป็นแกมสงสัยเมื่อเห็นเพื่อนทั้งสองมองกันเป็นตาเดียว
ปราชญ์ผู้รอบรู้ประจำสายเวทย์ผู้ซึ่งไม่เคยเม่อลอยมาก่อน ตอนนี้กำลังนั่งเข้ายานแบบที่เพื่อนเรียกไม่ได้ยิน มันเป็นอะไรหรือเปล่าวะวันนี้

"นายเป็นอะไรหรือเปล่า" คารอสเลิกคิ้ว

"หรือว่ากินยาไม่ได้เขย่าขวด" โซรามอสออกอาการเป็นห่วง

"ตลกแล้ว" เวล์เซนกล่าวขึ้นใส่เพื่อนที่หวังดีไม่เข้าเรื่อง สงสัยมันจะติดนิสัยไอ้เครอนมาแน่ๆ บอกแล้วว่าเชื้อมันแรง "ฉันแค่สงสัยตะงิดๆบางอย่าง เหมือนอะไรแปลกๆซะอย่างแต่นึกไม่ออกก็เท่านั้นเอง"

"สงสัยเรื่องไร"

"ไม่รู้สิ" เวล์เซนยักไหล่

คารอสที่เงียบใส่ยาเสร็จก็ร่างเวทย์รักษานิดหน่อย ปากแผลกว้างที่เลือกสดๆไหลออกมาตอนสลับกันรุกรับกับรุ่นพี่ปิดปากแผลด้วยตัวเอง รวมทั้งแผลเล็กน้อยที่หายไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน มีเพียงคาบเลือกที่ติดอยู่ที่เสื้อเท่านั้นที่บอกให้รู้ว่าเคยผ่านการประลองและการบาดเจ็บก่อน
"ขอบใจ" ท่านเซอร์จากทาร์รอสกล่าวพร้อมกับลุกขึ้นจากเตียง
"เอ้า" เวล์เซนโยนเสื้อชุดใหม่ให้ "เปลี่ยนซะ"
"แข่งหมากรุกเป็นไง" คารอสอันมาเข้าประเด็นเดิมที่ค้างไว้หลังจากที่โวรามอสกำลังเปลี่ยนเสื้อใหม่
"แพ้" คำตอบสั้นๆ
"อืม" คารอสดูไม่ได้สนใจอะไร
"ว่าแต่นายเหอะ ยังไม่ได้แข่งอีกเหรอ" โซรามอสตะโกนถามจอมเวทย์หนุ่มจากมุมห้อง
คารอสอ้าปากจะตอบแต่ก็มีเสียงพูดแทนให้
"เพราะไม่มีใครกล้าอาจหาญพอจะสู้กับหนึ่งในสามจอมเวทย์สูงสุดแห่งโครนอส ยอมยกธงขาวยอมแพ้ตั้งแต่ขึ้นสนามกันทุกรายสินะ ใช่ไหม คารอส" รอยยิ้มยั่วจากครอสล์ที่พึ่งเดินเข้ามาถึง

ด้านหลังที่ก้าวตามมาคือตัวแทนผู้แข่ง ทาร์เรีน ลีฟ รวม12คนในกระโจมใหญ่ของปีหนึ่ง สายดาบ เอนทารีดัสและอูราน พึ่งผ่านการต่อสู้มาเนื่องจากมีรอยแผลมาอย่างเห็นได้ชัด ส่วนฟรานไม่ได้อยู่ในรายชื่อลงแข่ง สายเวทย์คือ เจมส์ที่ยังดูไม่ค่อยจะหายขาดจะบาดแผลดีเพราะดาบกินบริเวณลึกและกว้างเกินกว่าเวทย์จะรักษาให้หายขาดในครั้งเดียว เอ็นทรี่ตัวแทนจากสายพ่อค้าดูจะยิ้มแย้มที่สุดข้างๆคือแอนนา ผู้หญิงคนเดียวในกลุ่มนี้ ปิดท้ายด้สยฮิวเกอรี่และโจนาทาเดินพูดคนกันเข้ามาปิดแถว
ครบ12คน
ถ้าจะสังเกตแม้สายนักบวชจะมีคนเก่งกาจเวทย์แต่ทางที่ประชุมกับไม่ส่งเข้าแข่งทาร์เร่น เพราะส่วนใหญ่ที่ได้รับคัดเลือกไปประลองเวทย์มักเป็นพวก นักบวชดำ ที่ทรงฤทธิ์มากก็จริงแต่จิตใจมักจะดำมืดมากกว่า ทุกปีทางที่ประชุมจะส่งพวกนักบวชขาวมาช่วยเรื่องการพยาบาลเสียมากกว่าต่อสู้เอง
"มากันครบพอดี" ครอสล์ยิ้มพร้อมกับกล่าวต่อ "จะได้คุยกันให้รู้เรื่องเกี่ยวกับการวางแผนการแข่งทาร์เร่นซะที"
"พี่ครับ ทางสายเราขอเสนอตัวเป็นผู้พยาบาลนะครับ" ฮิวเกอรี่ว่าขึ้นหลังจากตกลงกับโจนาทาเสร็จ
"อืม เรื่องนั้นมันแน่อยู่แล้ว" ครอสล์ตอบก่อนจะหันมาทางคารอสด้วยแววตาท้าทายปนมัน "แต่ที่ต้องตัดสินกันวันนึ้คือ ฉันกับนาย ใครจะได้เป็นหัวหน้าทีม"
"นายอยากเอาก็เอาไป ฉันไม่สนอยู่แล้ว" คารอสกล่าวอย่างเฉยชาพร้อมๆกับกวักมือเรียกฮิวเกอรี่และโจนาทามาทำแผลให้กับสองนักดาบ
ฉับพลันปลายดาบใหญ่ก็วางฝาดอยู่ที่ลำคอของเจ้าของฉายา เจ้าชาย แต่คารอสดูจะไม่ได้ตกใจหรือแตกตื่นแม้แต่น้อย ทำมือสั่งให้สองนักเรียนนักบวชทำงานต่อไป
"ฉันต้องการตัดสินกับนายให้รู้แล้วรู้รอด คารอส" ครอส์พูดด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยสบอารมณ์ "ด้วยความสามารถไม่ใช่เพราะนายยกให้"
"พี่บ้า พูดอะไรเห็นแก่ตัวแบบนั้น"
เสียงใสๆคุ้นๆดังขึ้นดึงสายตาของทุกคนหันมามองยังต้นเสียงที่ยืนพิงทางเข้ากระโจมกันเป็นตาเดียว
"เครอน แกมานี่ได้ไง" ครอสล์และคารอสประสานเสียงพูด
"มาได้ยังไงก็ช่างมันเหอะ" เครอนยิ้มพร้อมเปลี่ยนเรื่องก่อนจะโดนถามแกมดาจากแฝดผู้พี่เจ้าระเบียบ "แล้วไอ้การประชุมของพวกแข่ง ทาร์เร่น ลีฟ ต้องมีแก่งแย่งกันเป็นหัวหน้าแบบนี้ด้วยหรือไง"
"แกก็น่าจะรู้ว่าเสือกับสิงห์มันอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้" ครอสล์กล่าวกับน้องชายตัวดี
"ทำไมจะไม่ได้" เครอนหัวเราะ "ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องมีหันหน้าทีมหนิ จริงไหม ขอแค่ทำตามหน้าที่ของตัวเองไปไม่ยุ่งเกี่ยวกันก็ไม่มีปัญหา"
"หน้าที่ของตัวเองงั้นหรือ" เสียงแสดงความสงสัยจากเจมส์
"ก็อย่างเช่นสายนักบวชของเจ้าฮิวเกอรี่ทำงานพยาบาลใช่ไหม สายพ่อค้าก็ดูแลเรื่องการจัดเก็บดูแลของที่เก็บได้ไป สายดาบก็เป็นฝ่ายสู้ ส่วนสายเวทย์ก็เป็นสายคุ้มกัน ไม่เห็นจะยาก"
"ฟังดูมีเหตุผลดีนะ" สองตัวแทนสายพ่อค้าเห็นด้วย
"ใช่ครับ ผมเห็นด้วยกับพี่เครอน" ฮิวเกอรี่ออกเสียงสนับสนุนด้วย
"ไม่" เสียงแย้งจากโซรามอสดังหนักแน่น "สายเวทย์เป็นสายที่มีพลังอำนาจการสู้ไม่แพ้สายดาบ แล้วทำไมไอ้เราต้องมาทำหน้าที่คุ้มกันในขณะที่สายดาบได้สู้เนี่ยนะ ฉันไม่เห็นด้วย"
"แต่สายดาบก็ไม่มีวันแพ้พวกสายเวทย์เช่นกัน" ฟรานว่า
ไอความตายจากทั้งสองสายที่ไม่ค่อยถูกกัน จนเครอนรีบพูดตัดการสงครามที่อาจจะเกิดขึ้น
"เอาหน่าๆ เสือกับสิงห์เนี่ยไม่กัดกันแบบนี้หรอก" ตัวแสบรีบปราดเข้าไปห้ามทัพ "ตกลงเป็นว่าเก่งทั้งสองสายนั้นแหละ แต่ก็อย่าทำตัวให้มันมีปัญหาไหม"
"อืม ฉันเห็นด้วย" โจนาทาที่ว่าไม่ดูสถานการเลยโดนสายตาจ้องกันเป็นมันราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ทำเอานักบวชหนุ่มเป็นอันจ๋อยต้องปิดปากสงบเสงียมไปตามระเบียบ
"แต่ฉันก็เห็นด้วย" เสียงที่เย็นเฉียบจากคารอสที่ไม่ได้เข้าร่วมสงครามเย็นภายในกระโจมทำเอาคนขนลุกเกลียว "เสือจะปะทะสิงห์อะไรฉันไม่สนใจ จะประชุมก็รีบๆเข่าหน่อย ฉันไม่มีเวลามาก"
"ก็ได้" ครอสล์แยกเขี้ยวไม่สบอารมณ์ "ตกลงมีอะไรก็ว่ามา"
"เอางี้ไหม สายเวทย์และสายดาบเป็นฝ่ายสู้และก็คุ้มกันด้วยกันดีกว่า" เวล์เซนเสนอทางออก
"งั้นก็ได้" ครอสล์ตอบ "จะได้รู้กันว่านักเวทย์กับนักดาบใครมันแน่กว่ากัน"
คำท้าทายที่ดูจะไม่ได้ผลเมื่อคนที่ต้องการยั่วกลับเฉยราวกับไม่ได้ยิน คนที่ตอบดังเป็นหนุ่มเลือดร้อนแทน
"ก็ลองดูสิ" โซรามอสรับคำท้า
นักดาบทั้งสี่ในกระโจมหลังจากตกลงกันได้ต่างแยกย้ายกันไป เครอนเองก็ยิ้มกับผลงานการห้ามทัพของตัวเองก็จะตั้งท่าเดินออกจากกระโจมไปดูการแข่งต่อ
"เครอน" เสียงเย็นสาดเข้าให้เต็มหลังจนสะดุ้ง ตัวแสบค่อยๆหันหน้าไปปะทะเจ้าฝาแฝดนิสัยต่างกันคนละขั้ว "นายหนีเวรคุ้มกันห้องมางั้นหรือ"
คนอะไรจะความจำแม่นขนาดนั้นวะ พ่ออยากจะกราบเป็นอาจารย์แล้วตืบสักยกสองยกให้รู้แล้วรู้รอด
ตัวแสบยิ้มแห้งๆ แต่ก่อนที่คนตรงหน้าจะพูดอะไรร่างตัวแสบก็หายไปกับสายลมเสียแล้ว
ไวชะมัด
คารอสคิด พร้อมกับส่ายหัวด้วยความเอือมระอาแฝงเอ็นดูอยู่ลึกๆในใจ


ตอนที่ 45 ตัวแสบ ปะทะ ตัวแสบหมายเลขสอง
…..โครม…..
เครอนที่วิ่งหลับหูหลับตาหนีเจ้าแฝดผู้พี่ช่างถามมาชนเข้ากับร่างหญิงชราคนหนึ่งที่กำลังเดินอยู่เข้าอย่าจังจนเป็นเหตุให้กระเด็นกันไปคนละทิศละทาง

"โอ้ย เจ็บ" เครอนว่าพร้อมกับเอามือลูบก้นที่กระแทบพื้น
"ไอ้เครอน" เสียงหญิงแก่ตะโกนก้องเมื่อเห็นว่าใครคือคนที่ชน "แกมาอยู่นี่ได้ไง ฉันบอกให้เฝ้ายามหน้าห้องกษัตริย์อานอสไงฟะ ริอาจหนีเที่ยวมางั้นเหรอ"
เครอนต้นแบบในร่างของหญิงชราอยู่ในภาวะโกรธจัด เมื่อตัวที่ลอกมาทำถ้าจะใช้วิชาตีนผีเกียร์ห้าโดย อาจารย์ เครอน ทันเรอเรน หนี แต่ตัวลอกหรือจะสู้ตัวจริง หญิงชราขว้าคอเสื้อนักเรียนสายเวทย์พร้อมกับออกแรงลากคอตัวแสบเข้าไปที่บริเวณป่าข้างโรงเรียน
"เจ็บๆ" เครอนหมายเลขสองโวยวาย
"พอเลยๆ นายนี่บอกมาทิ้งห้องของอานอสไว้ได้ยังไง สมองทำไมไม่ฉลาดให้เหมือนต้นแบบ หา"
"ฉันไม่ได้โง่ซะหน่อย ฉันก็ลอกมาอีกตัวไปเฝ้าแล้วไง"
"ว่าไงนะ"

เท่านั้นเองตัวจริงก็เกิดอาการช็อกซินิม่า เมื่อสังเกตว่าสนามหญ้าเบื้องจากจากจุดที่มองเห็นจากป่ามีเครอน ทันเรอเรนไม่น่าจะต่ำว่ายี่สิบคนเดินตรงไปยังลานประลอง คราวนี้เคราะห์ซ้ำกรรมซัดตัวก่อเรื่องต้นแบบจึงต้องทำหน้าที่วิ่งไล่จับตัวก๊อปปี้ให้พลานไปทั่ว ซึ่งแต่ละตัวก็แสบๆกันทั้งนั้น กว่าจะจับได้ครบก็ปาไปเกือบๆงานจะเลิก

หญิงชราถกกระโปรงขึ้นถีบตัวคัดลอกที่โดนจับให้ยืนเรียงแถวเป็นหน้ากระดานตัวละทีสองทีขึ้นอยู่กับความแสบมากแสบน้อยของแต่ละตัว ตัวคัดลอกบ่นอุบไม่หยุดปากแต่ก็ก้มหน้าจ๋อย ก่อนจะร่ายเวทย์คืนร่าง ร่างของตัวแสบที่ชอบก่อเรื่องทั้งหลายจะหายกลับเข้าร่างเดิม และคุณสมบัติของเวทย์แยกร่างชั้นสูงแห่งความมืดคือเมื่อรวมร่างกลับที่เดิม ความทรงจำของอีกร่างแยกจะเข้ามาในหัวของร่างต้นแบบเอง เฉพาะฉะนั้นเครอนจึงรู้เรื่องแผนการอู้งานของอีกร่างและก็ยังรู้เรื่องที่เกิดขึ้นในกระโจมใหญ่อีกด้วย

"ไหนๆก็ไหนๆแล้ว" เครอนพูดกับตัวเองพร้อมกับก้มมองร่างแก่ๆ "ร่างนี้อยู่ก็ไม่มันเอาเสียเลย กลับร่างเดิมดีกว่า"

ร่างแก่ๆก็เปลี่ยนกลับมาเป็นร่างเด็กผู้ชายฉายา ตัวแสบ เหมือนเดิม ก่อนที่เขาจะหยิบเสื้อนักเรียนที่ร่างเวทย์ลวงตาไว้ใส่เรียบร้อย เครอนจึงเดินออกมาจากป่าทึบสู้ลานการประลองเวทย์ที่ใกล้จะถึงรอบชิงเต็มที

"เครอนๆ" เสียงจากไดอาน่าที่ยืนทำงานเป็นผู้รับรายงานตัวอยู่ที่โต๊กลางร้องทันทีที่สังเกตเห็น
"ไง ไดอาน่า" เครอนเดินเข้ามาทัก
"รู้หรือเปล่าว่ารอบชิงใครแข่งกับใคร" ท่านหญิงยิ้มชอบใจ
"อืม" ตัวแสบทำหน้าครุ่นคิด "รุ่นพี่ปีสี่แข่งกับรุ่นพี่ปีห้ามั้ง"
"ผิด"ไดอาน่าหัวเราะเบาๆ "ปีหนึ่งกับรุ่นพี่ปีห้า ได้ยินว่าปีห้าเป็นลูกชายของอาจารย์ใหญ่ด้วยนะ"
"หา"
เครอนตาโตเท่าไข่ห่านยักย์สองลูก ปีหนึ่งเนี่ยนะจะเข้ารอบชิงชนะเลิศกับลูกของอาจารย์ใหญ่ โอกาสชนะมันจะมีไหมเนี่ยเพราะใครๆก็ว่าลูกของอาจารย์เก่งกาจออกจะขนาดนั้น

"อยากรู้ไหมว่าใคร" ไดอาน่าถามต่อด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
"ใครอะ"
"ก็คารอสไง" เสียงตอบจากรุ่นพี่เจอลาวัตที่เดินมาอยู่ข้างหลังตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
ว่าแล้วเชียว ตอนแรกก็คิดว่างั้น แต่คิดไปคิดมาก็ไม่น่าจะเก่งเกินกว่าจะเข้ารอบชิงได้นี่หน่า หรือมันใช้วิชาดีดน้ำมันพรายอาจารย์ ยิ่ง ใส่กรรมการ เลยได้เข้ารอบ
มีก็ไม่บอก จะได้ขอเคล็ดวิชาสักสองสามวิธี
"แล้วการแข่งอื่นๆเป็นยังไงบ้างอะพี่" เครอนหันไปถามรุ่นพี่ใจดีข้างๆ
"การแข่งหมากรุกจบเกมส์ไปแล้ว ปี5 คือคนชนะ ส่วนการดวลดาบตอนนี้รอบรองชนะเลิศอยู่" เจอลาวัตอธิบายให้รุ่นน้องทั้งสองที่กำลังฟังด้วยความตั้งอกตั้งใจ "ถ้าพวกเธอดูแข่งเวทย์เสร็จก็คงดูรอบชิงสายดาบได้พอดีนั้นแหละ"
"ดีเลย งั้นเดี๋ยวเราไปดูด้วยกันไหม ไดอาน่า" เครอนยิ้มให้เพื่อนสาวก่อนจะกระซิบเบาๆเพื่อนให้ได้ยินแค่สองคน "จะได้ไปดูเจ้าพี่บ้าได้แชมส์

ด้วยกันไง"
ใบหน้าของท่านหญิงขึ้นสีแดง ก่อนจะหันหนีน้องชายของว่าที่สามีในอนาคตที่มั่นอกมั่นใจในฝีมือพี่ชายตัวเองเสียเหลือเกิน
"ไม่เห็นอยากดู" ไดอาน่าปากแข็ง
"จริงนะ" เครอนหัวเราะ
แต่ก่อนที่แต่ก่อนที่เครอนจะพูดอะไรต่อไปเสียงประกาศจากพิธีกรประจำสนามก็ดังขึ้น
"เชิญคู่ประลองเวทย์รอบชิงชนะเลิศ ตัวแทนปีหนึ่ง คารอส คิลเซเรียส โครไรอิเซล ไลท์เวสต์ กับตัวแทนนักเรียนชั้นปีห้า แอนโทนี่ กราส มาลงทะเบียนก่อนการประลองที่โต๊ะกลางด้วย"
"ไปหาที่นั่งกันเถอะ" รุ่นพี่เจอลาวัตเอ่ยชวน
"อืม" เครอนพยักหน้ารับก่อนที่ตัวเองจะเดินตามรุ่นพี่ไปนั่งที่วีไอพี


ตอนที่ 46 ศึกชิงตำแหน่ง
ร่างของบุรุษผมสีทองเป็นประกาศยามต้องแสงตะวันคุ้นเคยปรากฏให้เห็นเมื่อก้าวขึ้นลานประลอง ดวงตาสุขุมเย็นชาแบบที่ใช่ประจำทอดมองตรงหน้าราวกับมองเห็นหนทางยาวไกลดูมีอำนาจแฝงอยู่ในตัว กับมาดความเป็นผู้นำคนเต็มเปี่ยมจนแม้กษัตริย์บางพระองค์ยังต้องละอายพระทัย ใบหน้าคมคายหล่อเหลานี้เองที่เสมือนอยู่เหนือกว่า

ทุกสรรพสิ่ง ราวกับชัยชนะอยู่ตรงหน้าตรึงทุกๆสายตาของบรรดาผู้ชมน้อยใหญ่เหมือนต้องมนต์สะกด
"เพื่อนผม เพื่อนผมเอง"
เสียงแรกจากคนที่รู้สึกว่าจะเป็นคนเดียวเท่านั้นที่ไม่ได้หลงให้ภาพอันแสนงดงามตรงน้อยเลยแม้แต่น้อย ประกาศเชียร์อวดตัวเองดังสนั่นอย่างไม่อายปากชนิดที่ว่าคนนั่งหลังสุดอัธจรรณ์ยังได้ยิน
เครอนยิ้มกับตัวเอง เพราะอยากพูดมาตั้งนานแล้ว เพื่อนจะได้แจ้งเกิดกับเขาบ้างงานนี้ สายตาเย็นเหมือนน้ำแข็งสาดเข้าให้จากคนที่ถูกโมเมประกาศเป็นเพื่อนซะงั้นแต่ตัวแสบยังคงยิ้มกวนๆมาให้

"ครับ…ครับ ต่อไปขอเชิญท่านกษัตริย์ อานอส คิลเซเรียส แห่ง โครนอส ขึ้นกล่าวอะไรกับงานการแข่งขันชิงตำแหน่งสุดยอดจอมเวทย์แห่ง

ริสมาฟอรัสครับ" พิธีกรรายการการแข่งกล่าวประกาศขึ้นหลังจากอึ้งอยู่นานจนเกือบลืมบท

ร่างกำยำของกษัตริย์บ้าอำนาจ เจ้าระเบียบ ขี้บ่น พ่อยัยอลิสซ่า คนอย่างเครอนขอระบายที่อยู่ในใจ ค่อยๆรุกขึ้นช้าๆพร้อมด้วยเสียงปรบมือให้เกียติจากคนดูตามมารยาท ชายที่หน้าดูๆอายุน่าจะแค่30กว่าๆกลับชอบทำหน้าดุ และใช้สายตาวางอำนาจอยู่เสมอทำให้เครอนรู้สึกว่าไม่ถูกชะตาด้วยเป็นอย่างมาก

ไอ้นี่ก็แปลกวะ เป็นกษัตริย์อยู่ดีๆมาบอกให้เขาเลิกคบเป็นเพื่อนกับจอมเวทย์ ถึงไอ้คารอสมันจะเป็นจอมเวทย์คนสำคัญของประเทศแค่ไหนแล้วกษัตริย์มายุ่งไรด้วย ญาติก็ไม่ใช่ซะหน่อยถึงนาสกุลจะคลายๆกัน

แต่ไอ้คาอสมันสกุล คิลเซเรียส โครไรอิเซล ไลท์เวสต์ ไม่ใช่แค่ คิลเซเรียส ของอานอส

ความคิดของนักเดินทางที่ช่างไม่รู้เรื่องราวอะไรซะเลยดังขึ้นในใจแต่ไม่อาจะพูด

เสื้อผ้าเต็มยศที่เครอนรู้สึกว่ามันลิเกอย่างไรไม่รู้คือเสื้อขององค์กษัตริย์แห่งโครนอสที่ประดับด้วยเพรชพลอยลายตา พร้อมด้วยมงกุฎใหญ่ที่สวมไว้บนหัวมีเพรชเม็ดขื่อมหึมาประดับเด่นอยู่ สำหรับพวกผู้ดีคงว่างาม แต่สำหรับนักเดินทางพเนจร

ติดดินคงต้องพูดว่า

หนักหัวไหมอะนั้น

"ศึกการประลองเวทย์ครั้งนี้คือเกียติยศของประเทศ โรงเรียน สาย และตัวของพวกเธอเอง" อานอสกล่าวก้องกังวาลทั่ว "ฉันหวังว่าพวกเธอทั้งสองคนคงจะแสดงฝีมือกันอย่างเต็มทีและสุดความสามารถ ด้วยศักดิ์ศรีและเพื่อเกียติ จงจำไว้ว่าวันนี้

ตอนนี้เรามีหน้าที่ต้องทำ ตอนนี้เรามีหน้าที่อะไรและทำให้มันสำเร็จ" น้ำเสียงที่แฝงคำขู่เมื่อสายตาทอดมองมายังจอมเวทย์แห่งประเทศตนก่อนปากจะย้ำเตือนคำเดิมเพื่อตอกย้ำ "จนกว่าจะทำให้สำเร็จ"

เสียงปรบมือดังขึ้นอีกครั้งหลังจากที่อานอสพูดจบ เครอนจึงสังเกตว่าด้านหลังที่ประทับชั้นหนึ่งของกษัตริย์ผู้สูงศักดิ์ที่มี

คล้ายกระโจมโหญ่เปิดกว้าง มีทั้งโต๊ะที่วางของว่างทั้งผลไม้ ขนมกรอบ และเครื่องดื่มต่างๆมากมายอยู่ในเหยือกใหญ่ เก้าอี้ด้านหลังทางซ้ายคือเด็กหนุ่มผมสีเขียวเหมือนอานอสรูปร่างสูงโปร่ง ดวงตามรกตกลับทอแสงใจดีและเป็นมิตรได้อย่างไม่น่าเชื่อว่าเป็นบุตรของกษัตริย์บ้าอำนาจด้านหน้า

เจ้าชายอาร์ต คอร์นอร์ องค์รัชทายาทของโครนอสช่างแตกต่างจากบิดาของตัวเองอย่างสิ้นเชิง นิสัยใจดีและเรียบง่ายสังเกตจากเครื่องแต่งกายอันประกอบด้วยเสื้อเชิ้ดสีขาวธรรมดากับกางเกงขายาวใส่สบายตัวหนึ่ง ใบหน้าธรรมดามีรอยยิ้มอ่อนๆปรากฏประดับใบหน้าอยู่เสมอ คิดแล้วเครอนก็อดขำไม่ได้ในเมื่ออลิสซ่าออกจะได้รับเชื่อพ่อมาแบบเต็มๆแต่พี่ชายกลับแทบหาเชื่อพ่อแทบไม่เจอ

แต่อย่างน้อยก็น่าคบกว่าเยอะ

เครอนค่อยๆเบื้อนสายตาจากเจ้าชายไปยังที่นั่งด้านขวา ร่างของชายชราหนวดเครายาวที่ขาวตามยาวนั่งดูการแข่งขันอยู่

อย่างเรียบเฉยแต่แฝงความใจดี ดวงตาน้ำเงินทอแสงอ่อนอยู่เสมอตั้งแต่เห็นครั้งแรก

อาจารย์ใหญ่ของโรงเรียนแห่งอันดับหนึ่งแห่งลีฟ เอ็นโทราส กราส กำลังมองดูลูกชายคนเล็กของตัวเองก้าวขึ้นเวทีเพื่อนเตรียมแข่งขันกับคนบางคนที่เขาเองก็แทบผู้ได้เต็มปากว่าไม่มีวันล้มลงได้ หัวใจที่เป็นกลางไม่ลำเอียงแบบนี้เสมอมองราวกับเป็นเรื่องธรรมดา ตัวแสบจึงคิดถึงคำพูดใครบางคนที่พูดไว้ในความ

ทรงจำของตัวหมายเลขสองขึ้นมา

"ไม่ชนะก็แพ้ ไม่เห็นมีอะไรมาก"

รอยยิ้มปรากฏบนหน้าของตัวแสบที่มักยิ้มเป็นเอกลักษณะอยู่เสมออยู่แล้ว นายพูดถูก ไม่ชนะก็แพ้ ชัยชนะที่ได้มามันจะเป็นนิรันดรงั้นเหรอเพราะสักวันเราก็ต้องแพ้ ไม่มีใครกุมชัยชนะได้ตลอดไปหรอก ชัยที่ได้มันจะ

อยู่ได้นานสักแค่ไหนกัน เฉกเช่นความพ่ายแพ้จะแพ้ตลอดกาลนั้นก็เป็นไปไม่ได้ พ่ายแพ้ย่อมมีสักวันที่จะได้ชัย แต่จะพ่ายหรือได้ชัยก็ไม่อาจสำคัญเท่าสัจจะธรรมความเป็นไปในโลกแห่งความเป็นจริง
มหาปราชย์แห่งริสมาฟอรัส นายคู่ควรที่สุดแล้วเวล์เซน
แต่คงจะมีสักกี่คนกันที่จะสามารถเข้าใจในสัจจะธรรมข้อนี้ได้
"ได้ข่าวว่าลูกชายของอาจารย์ใหญ่เป็นสุดยอดจอมเวทย์อัคคี" เจอลาวัตที่นั่งนิ่งมานานข้างๆเริ่มเปิดบทสนทนาพร้อมๆกับชี้ไปที่ชายคนใหม่ที่พึ่งก้าวขึ้นมาบนเวทีประลอง
ชายหนุ่มวัยประมาณ23ปี รูปร่างไม่ค่อยสูงมากหรืออาจสูงแต่พอยืนกับไอ้จอมเวทย์นั้นแล้วดูเตี้ยก็ไม่ทราบได้ก้าว

ขึ้นมาช้าๆพร้อมกับเสียง

เชียร์จากพวกปีห้าที่มาดู ดวงตาน่าจะถอดพิมพ์มาจากอาจารย์ใหญ่แต่สีผมดำคงได้มาจากผู้เป็นแม่มั้ง
"จอมเวทย์ไฟงั้นเหรอ" เครอนถามสีหน้าแปลกใจแกมสงสัย
ไอ้เพื่อนตัวดีผู้ได้อยู่สายนี้มันแสนจะถนัดนักการเผาเทียนหรือไม่ก็โต๊ะเรียนชาวบ้านเค้ามากกว่าจะเสกอะไรที่มัน

ได้เรื่องได้ราว แต่อย่างว่าคนพึ่งเริ่มจะเอาอะไรนักหนาอีกอย่างมันได้รับเลือกจากแก้วแห่งความรู้แจ้งมาเข้ามา

แสดงว่าต้องมีดีสักอย่างสิวะ เพียงแต่มันไม่รู้จักเอามาใช่

"ใช่ เวทย์อัคคีเป็นเวทย์ที่มีพลังทำลายสูงกว่าเวทย์ธาตุอื่นๆมาก ส่วนใหญ่คนที่ได้อยู่สายนี้จะเป็นพวกเลือดร้อน นักเรียนส่วนใหญ่ก็เป็นอัศวินหรือไม่ก็นักฆ่าเท่านั้นที่ได้เลือกมาเรียน แต่เวทย์รุนแรงอย่างไฟก็มีจุดอ่อนที่การป้องกัน ตามที่ฉันรู้มาว่าเวทย์ไฟไม่มีทางสร้างม่านหรือเกราะป้องกันตัวเองได้ ทางเดียวที่จะชนะคือรุกอย่างเดียว เรียกว่าเป็นเวทย์สายรุก"

"งั้นเวทย์อื่นๆเป็นไงบ้าง"

"แต่เวทย์ที่มักใช่ได้ดีที่สุดคงหนีไม่พ้นวายุ" เจอลาวัตอธิบายต่อ "เวทย์ชนิดนี้จะใช้โจมตีก็ได้ป้องกันก็ได้ เพราะลมนั้นไม่มีทิศทางหรือขอบเขตของการใช้เวทย์ นักเรียนส่วนใหญ่ก็เลยจะเป็นพวกปราชญ์มากกว่าธาตุอื่นๆ"
"อืม" ตัวแสบพยักหน้าเข้าใจ "มิน่าไอ้เวล์เซนถึงได้เรียนธาตุนี้"
รุ่นพี่ข้างๆหัวเราะเบาๆกับท่าทางนักวิเคราะห์ของรุ่นน้องตัวดี ก่อนจะเล่าต่อ
"เวทย์ทั้งอัคคีและวายุเป็นเวทย์ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นที่สุดของธาตุทั้ง5 ไม่นับแสงและความมืด เพราะฉะนั้นถ้ามีกลุ่มเมื่อไหร่มีจอมเวทย์จากสองสายนี้ไว้รับรองสุดยอด ฉันยังแอบอิจฉากลุ่มนายเลย มีทั้งเวทย์แสง

เวทย์มืด อัคคี และวายุ ครบชุด"
เครอนผู้ถูกอิจฉาแยกเขี้ยวรับอย่างไม่ค่อยเต็มใจ
"จอมเวทย์แสงนี้ก็เงียบเย็นยังกะป่าช้า นักเวทย์มืดก็เฮฮาเกินชนิดอาซีเอยังอาย อัคคีชอบนักเผาห้องเรียนถึงจะเป็น

นักรบก็เถอะ ส่วนวายุก็อ่านหนังสือทั้งวัน ถามอะไรรู้หมด อับดุลยังต้องคาราวะเป็นอาจารย์เนี่ยนะ น่าอิจฉา"
เจอลาวัตยิ้มก่อนจะชี้แจงให้เข้าใจ
"นายน่าจะรู้ว่าโรงเรียนนี้เป็นโรงเรียนที่เรียกว่าดีที่สุดในอาณาจักร สามปีรับนักเรียนเพียงแค่60คนโดยไม่แบ่งแยกฐานะ ทุกๆครั้งจะมีเด็กจากทั่วทั้งลีฟหรือบางที่ก็อาจมาจากเดทด้วยเป็นหมื่นๆมาสอบเข้าเรียน ครึ่งหนึ่งจะไม่ผ่านด่าน

ทดสอบแรกที่ทางโรงเรียนเตรียมไว้ แต่ที่เหลือแก้วแห่งความรู้แจ้งจะเป็นผู้คัดเลือกเอง และคนที่มีความสามารถเท่า

นั้นที่จะผ่านมาเรียนที่นี่ได้ ถึงตอนนี้จะดูไม่ค่อยจะรอดแต่ก็วางใจได้แน่ว่าแก้วไม่มีทางเลือกคนผิดเป็นแน่"

รุ่นพี่หันยิ้มให้เจ้าตัวดีตบท้ายด้วยคำแนะนำ "ตอนนี้กลุ่มนายมีพวกสุดยอดๆแล้วคราวหน้าก็เอาคนธาตุอื่นๆมาอยู่รวมกลุ่มเป็นฝ่ายสนับสนุนด้วยรับรองได้ดังกระฉูดแน่"

เหอะๆ เครอนหัวเราะแห้งๆในใจก่อนที่จะคิด

ไอ้เจ้าพวกนั้นก็เป็นเพื่อนกันอยู่นั้นล่ะ ถามมาอยู่กลุ่มเดียวกันก็ไม่มีปัญหาแต่คนของธาตุพฤกษาอะดิ ยัยสองเจ้าหญิงนั้นให้มาอยู่ด้วยเค้าคงต้องขอลาฆ่าตัวตายก่อนเป็นแน่แท้ แค่คิดข่นหลังก็พากันลุกซู่แล้ว
"ช่างเหอะพี่แค่ไอ้สามคนนั้นผมก็จะเอาไม่อยู่แล้ว ขืนรับสมาชิกกลุ่มเพิ่มผมตายพอดี"
เจอลาวัตหัวเราะก่อนจะพูดด้วนน้ำเสียงอ่อนโยนแกมเอ็นดูตามนิสัย
"ไม่เป็นไร แค่พวกนายสี่คนก็เก่งสุดยอดพอแล้วมั้ง"
"เล่าต่อก่อนดิพี่ มีธาตุอะไรอีก" เครอนเริ่มเข้าเรื่องเก่าที่พูดค้างไว้ใหม่อีก
"ก็ที่เหลือคือ วารี ปฐพี แลพฤกษา ก็ไม่มีอะไรมาก เพราะเป็นธาตุเสริมมากกว่า อย่างวารีนี้แน่นทางการป้องกันตัวเอง ส่วนปฐพีก็เช่นกันใช้ในป้องกันและพรางกาย พฤกษานี้แย่ที่สุด ไม่ได้ช่วยอะไรเลย เพราะนักเรียนเวทย์พฤกษา

ส่วนใหญ่เป็นพวกผู้ดีกันทั้งนั้น ไม่เจ้าหญิงก็ต้องเป็นคนในสังคมชั้นสูงที่ทำอะไรไม่เคยเป็น แต่ก็ไม่รู้ทำไมทาง

โรงเรียนยังต่ออนุมัติให้มีก็ไม่รู้" น้ำเสียงเริ่มแฝงความรำคาญนิดหน่อยเมื่อเอ่ยถึง
ตรงเผง ยิ่งกว่าหมอดูดูเอง ยัยสองจอมเวทย์พฤกษาประจำปีหนึ่งเป็นแบบนั้นเลย
"แต่ที่เรียกว่าร้ายกาจเห็นจะเป็นที่สุดคือ แสง และมืด" รุ่นพี่กล่าวขึ้นก่อนจะมองหน้ารุ่นน้องข้างๆ "สองเวทย์นี้

เป็นเวทย์คู่พิฆาต อยู่ด้วยกันไม่ได้ นายกับคารอสเป็นคู่แรกในรอบหลายร้อยปีที่มาเป็นเพื่อนกันนะรู้ไหม"
คนฟังสะดุ้งก่อนจะยิ้มแห้งๆแต่เจอลาวัตก็ยังว่าต่อ
"ส่วนใหญ่สองสายนี้ไม่ฆ่ากันตายไปข้างหนึ่งก็คงแปลกมาก เพราะสายเวทย์แห่งความสว่างนั้นมีพลังมาก พลังจากความสว่างนั้นมากมายมหาศาลแค่ไหนไม่มีใครทราบได้ ทิวาอันกว้างใหญ่ไพศาล แต่ความมืดเองก็ลึกลับน่า

กลัวเฉกเช่นรัตติการณ์ที่ไร้ซึ่งแสง อำนาจแห่งความมืดและแสงเป็นสิ่งที่ตรงข้ามกันเสมอ สองมหาอำนาจที่ทั้ง

คลายคลึงและแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง"
ใช่ ความมืดและความสว่างแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง นายโตมากับโลกแห่งความสว่าง ส่วนตัวฉันเกิดมาพร้อมกับความมืดมิด ช่างเพื่อนคู่หูเพื่อนที่แปลกประหลาดที่สุดก็ว่าได้
"คทาเหนืออัคคี"

เสียงประกาศของแอนโทนี่ กราส รุ่นพี่ปีห้าสายเวทย์อันแข็งแกร่งกล่าวประกาศแรกทันทีที่สัญญาณเริ่มการแข่ง คทาด้ามยาวสีน้ำตาลไหม้ๆที่หัวลูกแก้วแดงที่ผงอะไรสักอย่างส่องประกายแสดหมุนรอบๆอยู่ก็ปรากฏบนมือของ

ผู้เป็นนายหนุ่ม

ประกาศศักดา
เป็นทางที่ดีเพื่อข่มขวัญคู่ต่อสู้ที่จิตใจอ่อนแอ แต่รู้สึกว่าจะไม่ได้ผลดังใจเพราะรุ่นน้องยังคงความเย็นชาเรียบเฉย

ได้อย่างเสมอต้นเสมอปลาย คารอสที่ลงศึกมือเปล่าตามเคยยังคงไม่เคยเรียกใช้คทา
หรือว่ามันไม่มีตังซื้อคทาใช้
เครอนคิดในใจก่อนที่อีกเสียงหนึ่งจะสนับสนุนแกมสงสัยว่า
ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าจอมเวทย์ไส้แห้งก็มีด้วย
…ฮัดชิ้ว…
คิดไม่ทันขาดคำจอมเวทย์ไส้แห้งก็จามขึ้นมาเอง ก่อนที่จะเหลือบมองคนที่แอบนินทาราวกับเห็น เครอนได้แต่ยิ้ม

แห้งๆตอบกลับไปให้เพื่อหาทางหลบความผิด
"เนตรโลกันตร์"
เสียงประกาศจากคู่ศึกประกาศเวทย์ช่วยตัวแสบไว้ได้ทัน ทั้งจงใจหรือไม่ก็เถอะนะ

ลูกไฟโลกันตร์ลูกใหญ่ปรากฏเป็นครั้งแรก แสงสว่างวาบแสบตาทั้งร้อนเล่นเอาเครอนโวยวายกับเจอลาวัตยก

ใหญ่แต่คงต้องยอมรับว่างานนี้ลูกไฟใหญ่ที่

สุดที่เคยเห็นมาในการแข่งขัน แอนโทนี่ตวัดมือเล็กน้อยเนตรโลกันตร์ก็พุ่งทะยานออกจากมือตรงเข้าใส่รุ่นน้อง

อย่างไม่คิดจะปราณี
ยิ่งใกล้ร่างเหยื่อมาเท่าไหร่ดูเหมือนลูกไปอาคมจะยิ่งใหญ่ขึ้นเท่านั้น แสงวาบแสบลุกกะตาเป็นที่สุดแต่ทุกคน

ต่างจ้องมองเพื่อไม่ให้คลาดสายตา

"กำแพงธารา"
เสียงประกาศคุ้นหูเข้ามาในโสตประสาต ม่านน้ำตกจากที่ไหนก็ไม่รู้พุ่งมาตั้งตะหง่านขวางทิศทางลูกไฟ

มรณะได้ทันท่วงที เสียงชู่จากไฟที่โดนเข้ากับม่านน้ำค่อยๆทำให้ดวงไฟละเหยหายไปในอากาศ
ธาตุวารีคือธาตุแห่งการปกป้อง

"เนตรโลกันตร์"
ดวงไฟลุกที่สองจากลูกชายอาจารย์ใหญ่ตามมาติดๆอย่างรวดเร็วจนแทบไม่ได้ตั้งตัว คราวนี้การโจมตีไม่ได้ไปที่ซึ่งๆหน้าเหมือนครั้งแรกแต่ผู้ร่างกับส่งไปพุ่งเข้าใส่จากทางเานข้างของลำตัว

แทนและเร็วกว่าครั้งก่อนหลานเท่า คารอสที่กระโดดออกจากตำแหน่งเดิมที่เคยยืนเพื่อหลบได้อย่างชิ

เฉยก่อนจะเสกสายอัสนีบาตฝ่าตรง

ไปยังจุดที่แอนโทนี่ยืนอยู่
…เปรี้ยง…
เสียงสนั่นหวั่นไหวของสายฟ้าที่ฝาดลงมากเชียดหัวไปเพียงแค่นิดเดียวเท่านั้น แรงที่ทำให้พื้นดินหรือแม้แต่อัศจรรย์คนดูยังสั่นเทือนเรียกเลือดจากบาดแผลไหม้ของรุ่นพี่ออกมาจาก

บริเวณไหลซ้ายอาบเสื้อ
มันร่ายเวทย์เตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ เครอนคิดแล้วขมวดคิ้ว

"อัคคีคลั่ง"
สิ้นเสียงร่ายเวทย์เท่านั้นเอง แผ่นดินก็สั่นสะเทือนก่อนจะปริแยกออก สายธาราเพลิงทะลักพุ่งปะทุขึ้นจากพื้นดินอย่างบ้าคลั่งก่อนจะล้อมรอบตัวคารอสเพื่อปิดตายพลังของ

รุ่นน้องไว้ภายใต้วงล้อมแห่งอาคมไฟ

"โอ้ย ประลองแรงอะไรอย่างนี้" เสียงคุ้นหูโวยวายอยู่ไม่ไกล
"นายก็น่าจะรู้ว่านี้มันรอบชิง" อีกเสียงที่คุ้นไม่แพ้กันตอบมา
"แล้วคารอสมันจะชนะไหมเนี่ย"
"เฮ้ เวล์เซน โซรามอส ทางนี้" เครอนจะโกนแข่งกับเสียงปฐพีคลั่งพร้อมกับโบกมือไปมา
สองเพื่อนรักหันมามองตามเสียงเรียกยิ้มๆก่อนจะเดินมานั่งด้วย
"เป็นไงบ้าง แอบโดดเวรมาดู" โซรามอสกล่าวแกมแหย่
"เออ สนุก" เครอนตอบแล้วแยกเขี้ยวใส่
แต่ก่อนที่จะได้พูดอะไรกันอีกเสียงดังก็ดึงสายตาจากเพื่อนกลับไปที่ลานประลอง นัยน์ตาทั้งสามคู่ที่สด

ใสของสามหัวเห็ดเป็นอันต้องเบิกกว้างพร้อมๆกัน
จอมเวทย์หนุ่มจากโครนอสตอนนี้มีเลือดไหลออกมาจากบาดแผลตามตัวที่เกิดจากการถูกกับอาคมของ

แอนโทนี่ แต่แม้ร่างกายจะบาดเจ็บเท่าใดดวงตาก็ยังคงสุขุมเย็นชาเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
มือเปล่าของคารอสยื่นออกมาก่อนจะประกาศเวทย์
"ไลท์ไฟต์"
อาคมแห่งแสงพุ่งเข้าทำลายกำแพงอาคมไฟที่ล้อมตัวของจอมเวทย์ผู้ร่ายมนต์ให้หายไปราวกลับไม่

เคยเกิดขึ้นมาก่อน แผ่นดินที่บ้าคลั่งปิดสนิทกันเหมือนกับตอนมา

ยังไม่เท่านั้นเพราะพลังอันแกร่งกล้าพุ่งสะท้อนกับคู่ดวลให้ร่างนั้นกระเด็นไกลออกไปยังพื้นดินเบื้อง

ล่างของลานประลองไกลกว่า10เมตรจนถึงกับกระอักเลือดออกมาในที่สุด
มันน่ากลัว

เครอนคิดในใจพร้อมกับมองหน้าคนที่ลงมือโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า ใบหน้าของความเย็นชาเรียบเฉยไม่

แสดงอารมณ์แม้แต่น้อย เวทย์ที่ใช้แกร่งขนาดทำลายอาคมไฟจากรุ่นพี่ที่อวุโสกว่าได้ในพริบตาแบบนี้

คงไม่ใช่พวกมือเวทย์ใหม่ก็เถอะนะ แต่ถึงจะเป็นจอมเวทย์ของโครนอสรุ่นอายุขนาดนี้จะมีคนฝีมือแบบนี้ด้วยเหรอ

"เนตรโลกันตร์"
แอนโทนี่ที่พอยันตัวขึ้นได้ก็เสกดวงไฟลูกใหญ่เข้าปะทะทันทีโดยไม่รีรอ
….พุบ…
ดวงไฟที่เสกส่งไปหายเข้าไปในความว่างเปล่าตรงหน้าทลามกลางสายตานับหมื่นคู่ที่มองแทบไม่ทัน เนตรโลกันตร์หายไปอย่างไรล่องลอยด้วยบางสิ่งที่รวดเร็วเข้าทำลาย
"วาตะ"
คราวนี้รุ่นพี่ประกาศไม้ตายสุดท้ายจากขึ้นพร้อมๆกับหมู่เมฆที่เคลื่อนตัวมารวมกันอย่างรวดเร็จจนน่าใจหาย สายลมแรงพัดเข้ามาวาดข้าวของบนพื้นดินไปหมุนวงอยู่บนฟาดฟ้าที่เมฆสีดำครึมกำลังก่อนตัว
พายุหมุน
พายุหมุนลูกใหญ่ก่อตัวจากบนฟ้าก่อนที่ปลายจนลงมาสัมผัสผิวพื้นดินดังสนั่นหวั่นไหวทั้งลานประลองเวทย์ ข้าวของทีวางอยู่ทั้งน้อยใหญ่ถูกกวาดตามแรงลมที่กำลังบ้าคลั่งไม่เว้ณแม้แต่เด็กตัวเล็กๆที่กำลังชมการแข่ง

ขันครั้งนี้ตามไปด้วย

ท้องฟ้ายามบ่ายที่ควรจะมีแสงแดดเจิดจ้าก็กลายเป็นมืดครึมราวกับพายุฝนจะเทลงมาเสียงกรีดร้องจาก

บรรดาคนชมที่พยายามเต็มที่ๆจะหาที่ข้ำยันตัวเองก่อนจะโดนดูดเข้าสู่เกรียวลมมรณะ พายุอาคาเมื่อหมุนเกรียวทอดลงบนพื้นก็ตวาดหมุนตัวตรงมาทางจุดหมายของการต่อสู้ครั้งนี้ คารอส

คารอสถอนหายก่อนจะชูมือขึ้นบนฟ้าแล้วเรียกบางสิ่งออกมาต่อต้านพลังแห่งวาตะจากรุ่นพี่
คำพูดที่เล่นเอาคนดูยางคนที่รอบรู้ศาสตร์แห่งเวทย์แทบไม่หายใจ

"วาตะโลกันตร์"
ทันใดสายฟ้าก็ฝาดลงตรงหน้าก่อนที่พายุหมุนอีกลูกจะตามลงมา เร็วกว่า แรงกว่า และแข็งแกร่งกว่า

แต่มีน่าแปลกใจที่สุดคงหนีไม่พ้น
พายุลูกนี้ไม่ได้มาจากลมอย่างของแอนโทนี่ แต่มันมาจากไฟ

พายุหมุนไฟลูกใหญ่ที่อบอ้าวสายเพลิงระอุหมุนวงอยู่ในเกรียวพายุสว่างแดงฉานไปทั่วทั้งผื้น

แผ่นดินบริเวณแนวการประลอง กำแพงกันพลังเวทย์ที่บรรดาอาจารย์ทั้งหมดโรงเรียนช่วยกันสร้าง

ไว้ห่างจากลานประลองเพื่อนป้อง

กันความปลอดภัยตอนนี้โดนพลังของจอมเวทย์อายุแค่สิบแปดปะทะจนสั่นราวกับจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ

"ร่างเวทย์เสริมกำแพงไว้ๆ"
เสียงของของอาจารย์ลุกขึ้นมาสั่งบรรดาอาจารย์คนอื่นๆที่ยืนเฝ้าอยู่แข่งกับเสียงดังกันตนาของวายุเพลิง

และวาตะทั้งสองสาย

สีหน้าของอาจารย์ใหญ่ที่มักจะสงบนิ่งอยู่เสมอตอนนี้เต็มไปด้วยแววแห่งความวิตก เพราะถ้ากำแพงกันเวทย์พังลงแรงของเวทย์จะตีกลับไปยังส่วนอื่นๆของโรงเรียนอาจจะรวมถึงพังปราสาทมหึมาทั้งของโรงเรียนแห่งริสมาฟอรัสก็เป็นได้
บรรดาอาจารย์น้อยใหญ่ต่างรีบเร่งร่ายเวทย์ขึ้นเสริมกำแพงเพื่อนหวังว่าคงจะดึงไว้จนกว่าการสู้จะสิ้นสุด

พายุหมุนเพลิงของจอมเวทย์รุ่นน้องพุ่งตัวปะทะกับพายุลมของรุ่นพี่ แรงลมที่เกิดดูราวกับช่วยพัดให้พลังของ

ไฟทวีความแรงมากยิ่งขึ้น เมื่อแรงเวทย์ปะทะกันเรียกแผ่นดินของทั้งสนามสั่นสะเทือนก่อนที่เสียงแห่งความตายหนึ่งก็ดังขึ้นแจ้มชัดใน

โสตประสาทของเครอน
"กรี๊ด…………"
"ไดอาน่า"
ร่างของท่านหญิงแห่งอิสตันลอยขึ้นตามแรงเหวี่ยงของลมจากสองพายุทลามกลางสายตาที่มองด้วยความตก

ใจเต็มที่ ทั้งที่อยากช่วยแต่ช่วยไม่ได้
ช่วงเวลาแห่งความตายเครอนตัดสินใจวิ่งออกไปฉุดมือของเพื่อนสาวที่กำลังถูกพัดหายไปในสายลมเพลิงที่ซึ่ง

รอคอยกลืนกินชีวิตมนุษย์อย่างไม่คิดจะละเว้น
ไอ้พี่บ้าหายหัวไปอยู่ไหนฟะ แฟนตัวเองไม่รู้จักดูแล

ชักไม่ได้การ เมื่อเครอนที่แค่ยืนอยู่บนพื้นดินที่กำลังเกิดเป็นแผ่นดินไหวแล้วยังต้องดึงคนที่กำลังถูกพายุดูดเข้า

ไปอีกคนก็ย่อมต้านทานกำลังไม่ไหว แรงลมที่มากเกินไปกำลังจะดูดกลืนตัวเขาหายไปด้วยเช่นกันเมื่อเครอนรู้

สึกว่าร่างตนเองกำลังถูกดึงเข้าสู่เปลวเพลิง
……ตูม…….
แรงลมหายไปเมื่อวาตะเพลิงของคารอสทำลายอาคมของแอนโทรี่ทิ้งพร้อมกับแรงที่ยังเหลือพุ่งเข้าปะทะสวน

กับร่างของจอมเวยท์ผู้แพ้อาคมจนกระเด็นล้มลงนอนแน่นิ่งไม่ไหวติงอยู่บนพื้นหญ่า
น่ากลัวจนไม่มีใครกล้าสบตา
จอมเวทย์หนุ่มที่ลงมือเฉียบขาดโดยไม่เปลี่ยนสีหน้ามาก่อน ใบหน้าเยือกเย็นเช่นไรก็เป็นเช่นนั้นแม้แต่ฆ่าคน
ผลการแข่งออกมาแล้ว
"ยังไม่ตายครับ แค่สลบ" รุ่นพี่ปีสามผู้ดูแลการรักษาพยาบาลรายงานอาจารย์ใหญ่หลังจากวิ่งไปดูที่ร่างของแอนโทนี่
เสียงถอนหายใจจากบรรดาคนดูพร้อมใจเป็นเสียงเดียว
…..โครม…..
เสียงตามมาติดๆเมื่อไร้ซึ่งแรงพายุร่างของใครบางคนที่กำลังลอยอยู่บนฟ้าเป็นอันต้องตกลงมากระแทกพื้นอย่างจัง ใบหน้าของเจ้าตัวแสบที่ลงผิดท่าม่วงไปหมดด้วยความเจ็บปวด
"โอ้ย เจ็บ….."
เครอนผู้โชคร้ายเป็นอันต่อเจ็บตัวเมื่อเขาโชคไม่ดีเหมือนไดอาน่าที่ตกลงแถวคนดูจึงช่วยรับร่างไว้ได้ทัน ส่วนตัวเขาเองเป็นลงที่ไหนไม่ลงมันลงซะกลางเวทีที่เป็นพื้นปูนแข็งโปก
โอ้พระเจ้าจอร์ด เจ็บโคตะระ
อายก็อาย เจ็บก็เจ็บ คนอย่างเครอนอยากจะเอาหัวโขกพื้นเวทีตายเสียตรงนั้นจริงๆ
"นายเป็นไงบ้าง" คารอสที่ยืนอยู่ใกล้ๆเดินเข้ามาดูเพื่อนตัวดีด้วยสีหน้าที่ปิดความขำไม่มิด ก่อมจะส่งมือมาให้
"เจ็บสิโว้ย ไอ้บ้า ถามมาได้"


ตอนที่ 47 ย้อนรอยการแข่งดาบ
"แกแน่ใจนะว่าจะดู"
โซรามอสถามอย่างเป็นห่วงเจ้าเพื่อนตัวแสบที่พึ่งจะเฉียดตายมาหยกๆลากคอเข้ามาดูการแข่งดาบรอบชิงทั้งๆ

ที่หน้ายังม่วงไม่หายดี มือก็ต้องลูบๆก้มตัวเองเป็นระยะเพื่อหวังจะคลายทั้งความเจ็บและอาย
"ฉันว่านายไปรักษาตัวก่อนดีกว่า"
อีกเสียงสนับสนุนจากเวล์เซนที่กล่าวด้วยน้ำเสียงสงสารแกมกลั่นหัวเราะ
"ไม่ต้องเลยและฉันไม่อยากไปให้ใครรักษาด้วย" เครอนถลึงตาใส่เพื่อนทั้งสองที่ตอนนี้ปล่อยก๊ากที่พยายามกลั่นกันสุดฤทธิ์แตกกระจายเป็นเสี่ยงๆเพราะคำตอบของคนไข้บางคนที่ไม่ยอมให้

หมอรักษาแผลช้ำอัปยศนั้นเป็นเด็ดขาด
"โอ้ย…แกนะแกที่หลังก็เอาหัวทิ่มทีก็จบเรื่อง" โซรามอสพูดหยอกล้อพร้อมกับเช็ดน้ำตาที่ไหลเพราะฮาแตก หรือที่คนอื่นๆเรียกว่า หัวเราะจนน้ำตาร่วง
"ขอบใจที่แนะนำ ฉันเองก็อยากอยู่เฟ้ย" เครอนแยกเขี้ยวใส่

พวกเขาสามคนคงเป็นหนึ่งในไม่กี่กลุ่มที่รีบบึ่งออกมาดูการแข่งขันต่อ การแข่งเวทย์ที่พึ่งจบไปนั้นเล่นเอาคนดูใจสั่นไม่หายจนแทยก้าวไม่ออกไปตามๆกัน คารอสขอผ่านการมาดูการแข่งต่อเพราะต้องกับไปรักษาตัวที่กระโจมพยาบาลส่วนรุ่นพี่เจอลาวัตเองก็ต้องรับหน้าที่พาไดอาน่าที่สลบเหมือดไปตอน

โดนพายุดูดไปส่งที่กระโจมพยาบาลเช่นกัน เลยเหลืออีกสองหัวเห็ดไว้ให้ดูแลคนเจ็บหัวดื้อที่ลากคอพวกมันมาดูการแข่งต่อเป็นเพื่อนโดยไม่เจียมบอดี้เลยแม้แต่น้อย

"ต่อไปขอเชิญตัวแทนศึกชิงชนะเลิศระหว่าง ครอสล์ แกรนต์คิล ลาเรนเซอร์ ตัวแทนนักเรียนชั้นปีหนึ่ง กับ เอ็ตวอตล์ คาเรนอร์ ตัวแทนนักเรียนชั้นปีห้า มาลงทะเบียนที่โต๊ะกลางด้วยค่ะ"
เท่านั้นเองตาของนักเดินทางผู้ไม่เคยสนใจเรื่องระบบกฏระเบียบและธรรมเนียมของประเทศต่างๆถึงกับตาโตเป็นไข่ไดโนเสาร์
"อาจารย์เอ็ตวอตล์" เครอนทวนคำอย่างไม่อยากเชื่อหู
"มีกติกาให้อาจารย์ลงด้วยเหรอ" โซรามอสมองหน้าอาจารย์สอนดาบของตัวเองที่เดินเข้ามาลงทะเบียนราวกับเห็นผี
"นายคงไม่รู้สินะ" เวล์เซนส่ายหัวเพื่อแกล้งปิดอาการกลั่นหัวเราะแทบไม่อยู่กับท่าประกอบฉายของเพื่อนทั้งสอง "อาจารย์เอ็ตวอตล์ที่จริงยังเรียนไม่จบ เขายังเรียนอยู่ชั้นปีสุดท้ายพอดีได้มาเป็นอาจารย์ฝึกสอนก็เลยรู้จักกันในนามอาจารย์"
"งั้นก็…."
"ใช่ อาจารย์ยังเป็นนักเรียนอยู่ในโรงเรียนสามารถลงแข่งได้โดยไม่ผิดกติกา"
"คราวนี้ไอ้พี่บ้าได้เจอศึกหนักแน่" เครอนหัวเราะแห้งๆ
"ว่าแต่พี่นายเป็นนักฆ่าระดับมือสังหารใช่ไหม" เพื่อนช่างถามอีกคนข้างๆหันมาเปลี่ยนเรื่องคุย
"เปล่า พี่ฉันเลื่อนเป็นระดับมือพิฆาตแล้วไม่ใช่มือสังหาร"
คิลเลียสคือนครแห่งนักฆ่า เป็นเสมือนเครือใหญ่สุดของนักฆ่าทั้งสองอาณาจักรแบบระดับออกเป็น นักฆ่าชั้นล่างอันเป็นชั้นที่พวกมือใหม่หรือยังฝีมือไม่ถึงขั้นพวกนี้ส่วนใหญ่ถ้าทำงานต้องไปกันเป็นกลุ่ม ชั้นมือสังหารที่เรียกว่าเป็นมืออาชีพแล้วสามารถออกไปรับงานทำคนเดียวข้างนอกได้ถ้าต้องการ แต่สำหรับบางคนที่ต้องการขึ้นถึงสูงสุดของนักฆ่าก็ต้องหาประสบการณ์จนได้เลื่อนเป็นมือพิฆาตซึ่งเรียกได้ว่าสูงสุดในอาชีพนี้แล้ว พวกนี้สามารถอยู่คุมลูกน้องในระดับล่างกว่าได้และยังมีอำนาจสั่งการได้ด้วย

แต่ตำแหน่งมือพิฆาตยังต้องฟังคำสั่งของตำแหน่งอยู่ตำแหน่งหนึ่ง คือ คัมภีร์พิฆาตแห่งคิลเลียส ซึ่งเป็นระดับหัวหน้ามือพิฆาตถือเป็นผู้ปกครองของประเทศคิลเลียส เพราะประเทศนี้ไม่มีองค์กษัตริย์เป็นประมุขมานานกว่าหลายสิบศตวรรษมาแล้วคัมภีร์พิฆาตคือตำแหน่งที่เหมือนเสนาบดีของกษัตริย์จึงกลายเป็น

ผู้สำเร็จราชการแทนกษัตริย์ ตามประวัติของคิลเลียสคัมภีร์พิฆาตปัจจุบันมีคนดำรงตำแหน่งเพียงแค่สองคน แต่เป็นใครนั้นยังไม่มีใครทราบ

"มือพิฆาต" โซรามอสคนถามกลืนน้ำลาย
มิน่าฝีมือการต่อสู้ถึงได้

วันที่ลงแข่งขันรอบคัดเลือกตัวแทนการแข่งขันดาบรอบสุดท้าย เครอนมันเกิดเป็นลมไปจึงไม่ได้ดูการแข่งที่แปลกประหลาดที่สุดในประวัติศาสตร์ของโรงเรียนก็ว่าได้ เพราะคนหนึ่งใช้ดาบแต่อีกคนลงมาตัวเปล่าๆ ภาพที่คนดูตามสงสัยไปตามๆกันเนื่องจากมือเปล่าหรือจะสู้ดาบ

แม้คณะกรรมการตัดสินถามแล้วถามอีกว่าจะใช้ดาบอะไรครอสล์ก็ตอบปฏิเสธอย่างเดียวจนฝ่ายเจรจาเหนื่อยใจไปตามๆ ในที่สุดจำปล่อยเลยตามเลยยอมให้ครอสล์ลงสู้ด้วยมือเปล่าจนได้

แค่หมัดเดียว หมัดเดียวที่เร็วราวกับสายฟ้าฟาด เร็วจนมองไม่เห็นแม้แต่เงา ล้มคนอย่างเขาได้ ล้มท่านเซอร์แห่งเมืองนักรบ ล้มตระกูลและศักดิ์ครีแห่งนักรบเสียสิ้น

นี้หรือคือความสามารถของความมืดที่เป็นจ้าวแห่งความตาย แล้วผู้หญิงในร่างผู้ชายข้างๆเขาเป็นถึงเจ้าหญิงรัชทายาทแห่งนครแห่งความตาย เกรย์ดอฟ จะมีฤทธิ์มากแค่ไหนกัน เพราะแค่คิลเลียสมือคนมีฝีมือระดับนี้อยู่ ทาร์รอสที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นเมืองนักรบที่แกร่งที่สุดในอาณาจักรลีฟคงยากจะต่อกรด้วยเป็นแน่

"คารอสชนะไปแล้วหนึ่ง ถือเป็นชัยของปีหนึ่งแต่งานนี้คงยากกว่า" เวล์เซนกำลังคุยของกับตัวแสบข้างๆ
"นั้นสิ อาจารย์แกได้เป็นอาจารย์ตั้งแต่ยังเรียนไม่จบคงไม่ใช่นักดาบฝีมือธรรมดาแน่" เครอนพยักหน้าเห็นด้วยก่อนจะหันมาชวนเพื่อนอีกคนคุยด้วยหัวเรื่องที่น่าถีบที่สุด "เท่าไร"
"อะไรนะ"
"ก็ถามนายไงวะ จะพนันเท่าไหร่" เครอนยิ้ม
"แกจะเป็นเจ้ามือเหรอไง"
"ฝันไปเหอะ ตกลงเท่าไหร่"
"ไม่เอาอะ แพ้ไอ้เวล์เซนไปตั้งสองครั้งแล้วไม่อยากเล่น" โซรามอสโบกมือในใจนึกขำ
ไอ้เครอนมันถังแตกประจำปี แต่มันก็ต้องยืมตังเจ้าคารอสประจำแล้วชอบมาโวยวายให้เขากับเวล์เซนฟังว่าหมอนั้นมันงก งกมาก และงกที่สุด คราวนี้ยังจะมาท้าพนันอีก
นึกแล้วขำ


ตอนที่ 48 ชิงชนะแห่งเกียติยศ
"เซนทาร์ย"
เสียงประกาศเรียกดาบคู่ใจของอาจารย์หนุ่มขวัญใจสาวน้องใหญ่ร้องเรียกทันทีที่สัญญาณเริ่มการแข่งดังขึ้น ดามด้ามยาวใหญ่มาปรากฏอยู่ในมือขวาของผู้เป็นเจ้าของที่ตวัดมาอยู่ในท่าเตรียมพร้อมสู้แบบนักรบ

นักฆ่าตรงหน้ายังคงยืนนิ่งด้วยมาดสงบที่หายาก ก่อนจะเริ่มหาวกว้างอย่างไม่อายชาวบ้านชาวช่องที่แห่กันมาดูการแข่ง
"โทษที เมื่อคืนมัวจีบสาวๆดึกไปหน่อย" คำพูดชี้แจงนักฆ่าหน้าหม้อที่มียศเป็นถึงประธานคณะกรรมการสายดาบพร้อมๆกับเช็ดน้ำตาที่ร่วงมาเพราะหาว
โชคดีที่ที่ไดอาน่าไม่ได้มาดู ไม่งั้น…
แค่คิดเครอนก็ต้องกลืนน้ำลายเฮือก ศาลาแปดวัดดอนคงต้องมีงานทำแน่ๆ
"พิฆาตโลกันตร์"
เสียงเรียกดาบดังเป็นครั้งแรกจากปากของนักฆ่าที่ไม่เคยเรียก ดาบใหญ่ชนิดที่ใหญ่กว่าดาบของเอ็ตวอตล์ถึง3เท่าตัวและยาวพอๆกับความสูงของคนถือเรียกสายตาคนดูเบิกกว้างพอๆกับปากที่อ้ามากพอจนกลังว่า

คางคกจะกระโดดเข้าไปนั่งเล่นได้ ยกเว้นน้องชายตัวดีที่ดูถ้าจะชินจนชาเสียแล้ว
เครอนได้ยินเสียงกลืนน้ำลายจากเจ้าเพื่อนที่โดนแค่หมัดข้างๆชัดเจน
เจอแค่หมัดอะดีแล้วไอ้โซรามอสเอย อย่าเจอดาบเลย
ครอสล์ถือดาบใหญ่ที่ทั้งหนักแม้กระทั่งนักดาบที่มีฝีมือจะจับให้อยู่ได้ด้วยมือข้างเดียวแกว่งไปมาเล่นโดยไม่ได้สนใจเลยว่าตัวเองกำลังแข่งอยู่อย่าง

สบายอารมณ์ทลามกลางคนอึ้งของผู้พบเห็น
เมื่อไหร่มันจะเข้าถ้าเตรียมพร้อมซะที เอ็ตวอตล์คิดในใจแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
ไม่น่าสงสัยที่อาจารย์หนุ่มจะไม่รู้ธรรมเนียมของคิลเลียสเลยว่า
นักฆ่ามันไม่มีท่าหรือรูปแบบการฟันดาบโว้ย รอทั้งชาติไอ้ครอสล์มันก็ไม่จับดาบท่าเตรียมสู้หรอก

ข้อแตกต่างระหว่างนักรบกับนักฆ่า โดยอาจารย์ เครอน เจ้าเก่า หนึ่ง เรื่องท่าที่เข้มเกินเหตุของนักรบทั้งท่าการเดินฟัน แทง และอื่นๆที่มีระเบียบปฏิบัติหน้ากระดาษยาวเป็นกิโลๆ สอง กฏระเบียบการประลองที่ไม่รู้จะเขียนไว้เพื่ออะไรมากมายจนคนบางคนเห็นแล้วอยากจะเอามาพันคอตัวเองตายของพวกนักรบ สาม การประลองเพื่อเกียติยศนักดาบก็ไม่ต่างจากการกัดกันเอง นักฆ่าถือแค่ว่าตราบใดที่ไม่มาเดินทับทางข้าก็ส่วนใครส่วนมันไปไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกัน และสุดท้าย ประสบการณ์การฆ่าต่างกันเป็นวา
"รับมือ"
เอ็ตวอตล์ที่หมดความอดทนที่จะทนรอประกาศก้องก่อนร่างจะหายไปจากจุดที่ยืนอยู่อย่างรวดเร็ว ช่วงแวบเดียวอาจารย์ฝึกสอนผู้มากประสบการณ์ก็เข้าประชิดตัวนักฆ่ารุ่นน้อง มือเงื้อดาบหวังฟันเข้าตรงไหล่ขวากว้างๆเพื่อตัดกำลัง
……เคร้ง……
ดาบใหญ่กว่าในมือครอสล์ที่ยังไม่ยอมเสียฟอร์มหัวหน้าสายดาบง่ายๆตวัดเข้าขวาง และแรงทำลายด้วยดาบพิฆาตโลกันตร์จึงมีผลโต้กลับหนักกว่าดาบอื่นทำเอาเอ็ตวอตล์ต้องถอยเท้าไปตั้งหลักและประเมินคู่ต่อสู้ใหม่
แรงทำลายของดาบต่างกันอย่างสิ้นเชิงถ้าเล่นตรงๆคงเสียเปรียบ และคนที่ใช้ดาบในตำนานเดทอย่างพิฆาตโลกันตร์ได้ย่อมไม่ใช่พวกหางแถวแน่นอน
ชนะแรงไม่ได้ก็ต้องชนะด้วยความเร็วดาบ
เอ็ตวอตล์ตัวพุ่งเข้าปะทะโดยการอาศัยจังหวะรุกโดยความได้เปรียบด้านความเร็วดาบมากกว่า ครอสล์แบนตัวหลบดาบที่พุ่งใส่มาได้อย่างฉิวเฉียด ดาบพิฆาตในมือมีพลังแรงกว่าก็จริงแต่ก็ไม่สามารถใช้ได้ในระยะประชิดตัว
……เคร้ง…..
เสียงดาบทั้งสองกระทบเป็นเสียงเดียวกันก่อนที่ต่างฝ่ายต่างออกแรงโถมน้ำหนักเข้าหาจนหน้าประชิดกัน
ดวงตาฟ้าเข้มจากรุ่นพี่ที่เป็นทั้งอาจารย์ในตัวฉาดแววตื่นเต้นออกมาอย่างเห็นได้ชัดราวกับได้เจอเรื่องสนุกสุดมันก็ไม่ปานกับการได้ประมือเป็นครั้งแรก

กับคู่สู้ที่เป็นถึงมือพิฆาตของคิลเลียส บุรุษรุ่นน้องที่การใช้ดาบบ่งบอกได้เลยว่าฝีมือไม่น้องเลย ระหว่างนัยน์ตาฟ้าอีกคู่จะดูมีความมุ่งมั่นไม่ยอมแพ้อย่างเต็มเปี่ยม ใบหน้าของประธานสายดาบที่มักเฉียบอยู่เสมอเริ่มเปลี่ยนการเป็นน่ากลัวขึ้น

"ศิษย์อย่าคิดล้างครู" เอ็ตวอตล์กล่าวขึ้นเมื่อสองสายตาประสานเผชิญหน้า
"คงไม่ได้ เพราะมีครูอย่างพี่อยู่ทำให้แฟนคลับผมมันถึงได้จำนวนไม่ได้ดั่งใจ"
น่าเอาเข้าไป จะหาคำพูดที่มันดีกว่านี้ไม่ได้แล้วหรือไงไอ้พี่บ้า ประสาท
เครอนเป็นอันต้องกุมขมับ เดี๋ยวพ่อจะอัดเทปไปเปิดให้ว่าที่ภรรยาพี่ดูดีไหมนี่
"ฉันว่าถ้าไม่มีฉันแล้วพวกสาวๆคงจะแห่ไปสมัครเป็นแฟนคลับคารอสหมดสิไม่ว่า" อาจารย์ยิ้มกวนๆแต่ก็ยังไม่ถอนดาบ "ตอนนี้เจ้าชายแห่งริสมาฟอรัสครองอันดับหนึ่งอยู่ไม่ใช่เหรอไง"
น่าน พวกคนแกๆก็เป็นไปกับเขาด้วย
"ไอ้หมอนั้นไว้จัดการที่หลัง ตอนนี้ชิงที่สองอุ่นเครื่องรอก่อนก็ได้หนิ เพราะยังไงผมก็ต้องได้ที่หนึ่งในอีกไม่นานนี้อยู่แล้ว"
….แหวะ….
หลงตัวเองชะมัด มีพี่ชายแบบนี้มันน่าจับถอนงูออกจากหัวนักหรือไม่ก็ให้ไดอาน่าช่วยถอดหม้อให้ก็ดี ถอดแบบปิดฝาโลงถาวรไปเลยยิ่งดีใหญ่
"รับมือ" เสียงประกาศอีกครั้งจากเอ็ตวอตล์ที่ถอนดาบออกมาตั้งหลักใหม่ก่อนจะเข้าฟันนั้นชั่วพริบตา
ความแรงที่นักฆ่าหลบไม่ทันแฉลบข้างของเอว เลือดสีเข้มไหลรินออกมาจากปากแผลยาวโชกเสื้อที่ใส่อยู่เป็นวงกว้างแต่ใบหน้าของคนถูกฟันกลับดูนิ่งเฉยราวกับไม่ได้รู้สึกถึงแผลที่ได้
สำหรับนักฆ่าแล้ว โตกับเลือดตายกับดาบ ชีวิตชอบล้อเล่นกับความตายเป็นประจำอยู่แล้วจนชินล่ะมั้ง
ยิ่งเห็นเลือกจิตใจของบุรุษจากนครแห่งนักฆ่ายิ่งคึกคะนองแรงกำลังดูจะยิ่งทวีความฮึกเหิมเพิ่มมากขึ้น รอยยิ้ม...มปรากฏบนใบหน้าคมคายเป็นครั้งแรกทำเอาบางคนที่ดูถึงกับหน้าซีด
นักฆ่าย่อมเป็นนักฆ่าวันยังค่ำ

เป็นครั้งแรกที่เอ็ตวอตล์ต้องตระหนักฝีมือรุ่นน้องเป็นครั้งแรก เมื่อดาบพิฆาตตวัดเข้าใส่อย่างรวดเร็ว เร็วเกินคาดว่าคนถือดาบจะทำได้ ทั้งที่ตอนนี้ผลัดกันรุกรับแกว่งดาบโจมตีกันอย่างดุเดือดเลือดคลั่งสนามอย่างน่ากลัว ไม่นานเนื้อตัวของแต่ละฝ่ายต่างมีเลือดไหลนองจากบาดแผลมากมาย

ครอสล์ แกรนต์คิล ลาเรนเซอร์ น่ากลัวสมเป็นมือพิฆาตแห่งคิลเลียส พอๆกับเอ็ตวอตล์ คาเรนอร์ ที่ห้าวหาญสมเกียตินักรบคนสำคัญแห่งนานิเอล
เทพบุตรจากนรก ปะทะ คิงปีศาจ
"ศึกชิงตำแหน่งความหัวงูสิไม่ว่า" เครอนบ่นอุบอิบ
"เหอะๆ" เสียงหัวเราะแห้งๆจากโซรามอสทางด้านซ้าย ส่วนปราชญ์ทางขวายิ้มน้อยๆ
"นายเหอะเวล์เซน ดูไปดูมาก็…" เครอนเดินสำรวจเพื่อน "นายก็หน้าตาดีใช่ย่อยหนิ สนใจชิงตำแหน่งกับเค้าบ้างไหมอะ" ตัวแสบหาเรื่องกวนบาทาเพื่อนผู้รอบรู้พาเอี่ยวตำแหน่งหัวงูกับเขาไปด้วยอีกคน
"ไม่อะ" เวล์เซนตอบสั้นๆ "แต่นายเองเหอะ หน้าตาคล้ายคารอสมันนะแต่ทำไมไม่มีสาวมาติดบ้างเลยล่ะเนี่ย"

เครอนแยกเขี้ยวใส่เพื่อนตัวดี รู้ทั้งรู้ว่าเขาไม่ใช่ผู้ชายยังจะมาให้สาวมาจีบอีก วิปริตตายชัก แถมไอ้ร่างผู้ชายที่เขาใช่มาตลอด3ปีมาเนี่ยก็ดันไปคล้ายกับเจ้าจอมเวทย์นั้นอีก จะต่างก็แค่ความสูงมันสูงกว่าเขา มาดก็เท่กว่า มันหัวทองเขาหัวน้ำตาลทอง นัยน์ตาก็คนละสี แต่ที่ต่างมากที่สุดก็หนีไม่พ้นไอ้นิสัย

คนหนึ่งก็สุขุม เย็นชาเสียเหลือเกิน ไม่รู้ว่ามันเกิดมาได้ยังไงยิ้มเป็นหรือเปล่าก็ไม่รู้แต่คงต้องยอมรับว่ามันมีคุณลักษณะผู้นำสูงมาก สั่งการเฉียบขาดและที่สำคัญคือน่าเกรงขาม ทายาทแห่งความสว่าง คารอส คิลเซเรียส

อีกคนสนุกสนานเฮฮา บริการหัวเราะ24ชั่วโมง อยู่ที่ไหนมีแต่ความสุขใครอยู่ใกล้ก็ไม่มีคำว่าเหงา เป็นคนสร้างสีสันแก่สายเวทย์หรือบางทีอาจเป็นโรงเรียนเลยก็ว่าได้ แต่ที่น่าสงสัยมากกว่านั้นคือภายใต้รอยยิ้มนั้นคือธิดาเทพ หรืออีกนามที่เรียกกันในลีฟคือ ธิดามัจจุราช นางฟ้าแห่งความตาย ใบหน้าที่แท้จริงของสตรีที่เรียกว่าน่ากลัวที่สุดในเดทนามทายาทแห่งความมืดจะเป็นยังไงกันแน่ อีกหน้ากากของเครอนที่พวกเขาไม่เคยเห็น
และไม่อยากเห็นด้วย
….เคร้ง….
การปะทะดาบยังคงดังกระหน่ำใส่กันอย่างไม่ลดละ ความดุเดือดบนเวทีเรียกความสนใจของสามหัวเห็ดกลับสู่สนามแข่ง ครอสล์ตอนนี้ใหญ่ดาบถูกตวัดออกไปตกอยู่นอกสนามแข่งคมดาบของอาจารย์ฝึกสอนจ่ออยู่ที่คอหอยของนักฆ่าฝีมือระดับน่ากลัว
ครอสล์ แกรนต์คิล ลาเรนเซอร์ บุรุษคนแรกที่เล่นคนอย่างเอ็ตวอตล์ยังหวั่นในฝีมือทั้งๆที่เป็นแค่เด็กปีหนึ่งเท่านั้นคนอย่างเขายังยากจะชนะ ถ้ามันโตกว่านี้แล้วเขาจะทำยังไง
"จะยอมแพ้หรือไม่" เสียงกล่าวกึ่งตวาดจากอาจารย์ที่ปรึกษาคณะกรรมการสายดาบผู้กุมชัย
รอยยิ้มแสยะปรากฏบนใบหน้านักฆ่าก่อนจะหัวเราะ ดวงตาฟ้าลุกโชนราวกับสั่งสอนเด็กหลงทางคนหนึ่งที่ไม่รู้เรื่อง
"อาจารย์ไม่รู้เรื่องสินะ" ครอสล์กล่าวพร้อมกับสีหน้าเบื่อ "ว่านักฆ่า…"
ยังไม่ทัยสิ้นคำกล่าวร่างครอสล์ก็พุ่งเข้าตรงไปยังร่างอาจารย์ด้วยความเร็วราวมัจจุราช หมัดหนักๆอัดเข้าที่ท้องของจนเอ็ตวอตล์ที่ไม่ได้ตั้งตัวทรุดลงกระอักเลือดกับพื้นสนาม เสียงสั่งสอนของนักฆ่ากล่าวประโยคที่ยังกล่าวไม่จบ
"ไม่จำเป็นต้องมีดาบก็ฆ่าคนได้"
ครอสล์ แกรนต์คิลเสยผมสีเงินให้เข้าที่ก่อนจะก้มลงหยิบดาบของอาจารย์ตกอยู่ข้างๆร่างบนพื้นโยนออกมานอกสนาม
"อย่าประมาทฝีมือนักฆ่าโดยเฉพาะระดับมือพิฆาตเป็นเด็ดขาด อาจารย์"
เอ็ตวอตล์สบดเบาๆก่อนจะพยายามยันตัวลุกขึ้นแต่ก็ไร้ผลเมื่อร่างกายไม่ตอบรับความต้องการเลือดก็กระอัดอีกระลอก
"อาจารย์อย่าพยายามเลยครับ กระดูกซี่โครงหัดไปเจ็ดแปดซี่คงสู้ต่อไม่ไหวแน่ เดี๋ยวผมตามพยาบาลมาให้"
ครอสล์เดินออกจากสนามไปยังโต๊ะกลางเพื่อตามหมอมาดูอาการอาจารย์ตัวเอง
"ตกลงชนะไหม"
เด็กปีหนึ่งสายเวทย์ที่สุมหัวรุมเครอนที่นั่งเล่าเรื่องการประลองดาบให้เจ้าพวกที่ไม่ได้ดูฟังอย่างเมามัน เครอนยิ้มน้อยๆก่อนจะวางมาดมากของคารอสอ่านหนังสือต่อ
"เล่ามาสิวะ อ่านหนังสือเดี๋ยวเจอรุมตืบ" เสียงจากดอฟตัวกวนที่ผู้ไม่ไว้หน้าตัวแสบ
"แพ้"
คำตอบสั้นๆตามมาดคารอสจนเพื่อนแถบจะถีบตกเก้าอี้ถ้าไม่ติดที่ว่าคำว่าาแพ้เราเอาความสงสัยมีมากกว่าความอยากถีบคนเล่าจอมกวนบาทา
"ทำไมอะ"
"ก็เจ้าพี่บ้ามันรู้จักอ่านกฏการแข่งดาบ เค้าบอกว่าสู้โดยกฏการดวลดาบห้ามใช้อย่างอื่นเป็นอันขาด พี่ใช่หมัดล้มก็เลยถูกปรับแพ้ไปตามระเบียบ"

ตัวแสบยักไหล่
"งั้นผลการแข่งวันนี้ก็ ปีหนึ่งชนะหนึ่ง ปีห้าชนะสอง ที่เหลือถ้าอยากชนะก็ต้องตัดสินการแข่งทาร์เร่น ลีฟ พรุ่งนี้อย่างเดียวแล้วสินะ" เจมส์ที่ดูสีหน้ายังไม่ค่อยหาดี
"นายเหอะเจมส์ แน่ใจนะว่าไหว" กัสหันไปถามหนึ่งในสี่ตัวแทนสายเวทย์ที่ต้องเข้าแข่งทาร์เร่น
"แน่ใจครับ"
เพื่อนพากันถอนหายใจ ดูก็รู้ว่ามันยังไม่แข็งแรงนิสัยเรียบร้อยแต่ดื้อเงียบเนี่ยเล่นเอาเพื่อนกุมขมับไปตามๆกัน ตั้งแต่วันประชุมใหญ่ปีหนึ่งมาพวกเขาพยายามเกลียกล่อมมันตั้งหลายครั้งแต่มันก็ไม่ยอม
ดื้อชะมัด
ไว้เย็นนี้ไปปรึกษาไอ้คารอสมันดีกว่า


ตอนที่ 49 สาสน์แดง แห่ง คิลเลียส

หลับ
ร่างสูงของบุรุษเพื่อนสนิทร่วมห้องกำลังนอนหลับอยู่บนเตียงอย่างเหนื่อยอ่อนเรียกเอาเพื่อนจอมกวนเดินเข้าไปดูใบหน้านั้นใกล้ๆอย่างลืมตัว
ผมทองที่เคยเรียบร้อยเป็นระเบียบอยู่เสมอตอนนี้ยุ่งไม่เป็นทรงรับกับใบหน้าคมคายยามหลับสนิท ภาพที่หาดูไม่ค่อยได้นักแม้แต่ตัวของเขาเองก็เถอะ คารอสที่ชอบทำหน้าเย็นชาวันนี้เปลี่ยนแปลงไปเป็นคนละคน ดูราวกับเด็กหนุ่มธรรมดาที่กำลังจมสู่นิทราอย่างน่ารักน่าเอ็นดู
เครอนอมยิ้มก่อนจะเอื้อมมือไปปัดเส้นผมทองอร่ามที่ปรกหน้าชายหนุ่ม
"วันๆดีแต่ใส่หน้ากากเป็นคนเย็นดีนัก" ตัวแสบพูดเบาๆพลางส่าย "คงเหนื่อยจากการแข่งสินะ"
สายตาก้มลงสำรวจร่างที่กำลังหลับไหลอย่างพินิจ แผลสมานเรียบร้อยแล้วคงไม่เป็นอะไรมากแล้วสินะ เรื่องปรึกษาค่อยพูดพรุ่งนี้ก็แล้วกัน
คิดแล้วก็เดินไปร่างมนต์ลงกลอนประตูอย่างที่ทำประจำ เมื่อประตูส่งเสียงกริ๊กเครอนก็คลายเวทย์แปลงกายออก ผมสั้นน้ำตาลก็ยาวสยายออกพร้อมกับดวงหน้าและร่างที่เปลี่ยนกลับมาเป็นสตรีเหมือนเดิม
ตัวแสบที่หน้าร่าเริงกลายเป็นผู้หญิงร่างบอบบางใบหน้าใสงดงามราวเทพธิดา ดวงตากลมโตมรกตรับกับผิวขาวละเอียดราวกับน้ำนม เครอนสบัดผมอย่างรำคาญก่อนที่จะรวบเรือนผมน้ำตาลต้องแสงอาทิตย์ที่กำลังอัสดงเป็นประกายทองระยิบระยับเป็นหางม้าอย่างรวกๆ
"ท่านเครอน"
เสียงเล็กๆดังขั้นเรียกผู้เป็นนาย เคริเอน่าหันมามองทูตสองตนที่นั่งอยู่บนโต๊ะทำงานพร้อมกับเอ่ยถามอย่างยิ้มแย้มแบบที่ทำประจำในร่างเครอน
"มีอะไรเหรอ รอน อีฟ"
ทูตสองตนสบตากันก่อนจะยื่นจดหมายข้างๆตัวให้อย่างกล้าๆกลัวๆ
จดหมายซองสีเลือดที่ประทับตราสีน้ำเงินเข้มเป็นรูปร่างของพยัคฆ์คำรามเรียกใบหน้ายิ้มแย้มของเคริเอน่าหายไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน สายตาใจดีเปลี่ยนเป็นเฉยชาแต่แฝงความน่ากลัวอย่างบอกไม่ถูกจนทูตทั้งสองไม่กล้าสบตา
"สาสน์แดง แห่ง คิลเลียส งั้นเหรอ"
เสียงเย็นอย่างที่ไม่เคยออกจากปากของตัวแสบมาก่อนกล่าวขึ้นให้คนในห้องขนทุกเส้นลุกเกรียว
"คือจดหมายฉบับนี้พวกกระผมได้รับมาเมื่อกลางวันนี้เองครับ" รอนรายงาน อีฟข้างๆพยักหน้าสนับสนุน
"ขอบใจนะ" เสียงใสๆของเครอนกลับมาเป็นแบบเดิมอีกครั้ง รอนและอีฟพากันถอนหายใจ เธอหันใบหน้าไปมองบุรุษที่ไม่รู้เรื่องอยู่บนเตียงข้างๆตัว "และเรื่องนี้ไม่ต้องบอกคารอสนะ"
รอนพยักหน้ารับพร้อมกับยิ้มๆส่วนอีฟมีสีหน้ารำบากใจที่ต้องโกหกนายตัวเองแต่ก็พยักหน้ารับช้าๆ ภาพที่ธิดาเทพแห่งเดทยิ้มกว้างพลางก้มใบหน้างดงามลงมามองทูตสาวอย่างเอ็นดู
"ไม่เป็นไรเหรอ อีฟ ฉันไม่ได้บอกให้เธอโกหกคารอสแต่บอกว่าไม่ต้องบอกเท่านั้น ถามมันถามค่อยเป็นอีกเรื่องนะ"
เครอนกล่าวด้วยเสียงนุ่มนวลจนทูตสาวยิ้มพร้อมกับพยักหน้าเข้าใจตอบ
"ท่านเครอนจะไปไหนเหรอครับ" รอนถามอย่างตกใจเมื่อเจ้านายคว้าจดหมายเดินออกจากห้องไปอย่างรีบเร่งโดยยังไม่ได้แปลงร่างกลับเป็นผู้ชาย แต่ไม่ทันเสียแล้ว
…..ปัง…..
เสียงประตูบานไม้ใหญ่มหึมาของตำหนักใต้หรือที่เรียกคือหอพักของสายดาบถูกเปิดดังลั่นด้วยแรงอารมณ์จนทุกสายตาของนักเรียนทั้งสายในห้อง

นั่งเล่นมองกันเป็นตาเดียวก่อนจะอ้าปากค้างไปตามๆกัน
หญิงสาวในเสื้อนักเรียนชายสายเวทย์รูปร่างและใบหน้างดงามราวเทพสะกดพวกเขาให้ไม่อาจละสายตาจากได้โดยฉะเพราะแววตาแฝงอำนาจ

จนน่าเกรงขามในนัยน์ตามรกตนั้น
"ครอสล์ แกรนต์คิล ลาเรนเซอร์ อยู่ที่ไหน"

สุรเสียงดังก้องห้องนั่งเล่นโออาของสายดาบจนทั้งรุ่นพี่รุ่นน้องสะดุ้งตื่นจากมนต์เสน่ห์ของสตรีเบื้องหน้าไปตามๆกัน
"เออ…น้องมาหาครอสล์งั้นเหรอครับ" เสียงทุ้มนุ่มจากรุ่นพี่ที่นั่งอยู่ที่เก้าอี้ไม่ไกลนักที่ดูก็รู้ว่ากำลังจีบสาวตรงหน้า "ตอนนี้น้องเค้าอยู่บนห้องถ้าไม่ว่าอะไรคุยเป็นเพื่อนพี่ก่อนก็ได้นะครับ"
สายตารำคาญอย่างไม่ปิดบังของเคริเอน่าปราดไปมองจนรุ่นพี่ผู้เล่นของสูงหน้าซีด
"ตามลงมาก" เสียงพูดสั้นๆ
"น้องสาวคนสวยไม่ต้องรีบร้อนก็ได้" เสียงทุ้มดังมาจากด้านหลังก่อนมือใหญ่ๆจับคว้าข้อมือหญิงสาวมาจับไว้พร้อมๆกับหันร่างบางๆไปสบตา
อูราน
หนึ่งในสี่รายชื่อผู้เป็นตัวแทนแข่งทาร์เร่นของสายดาบ บุรุษร่างกำยำดวงหน้าเข้มบ้าเลือดโดยเฉพาะสายตาที่ทอดมองเธอช่างไม่น่าไว้วางใจ
"เจ้าครอสล์มันไม่มีน้ำยาเหรอ มาเป็นแฟนพี่ดีกว่า" ว่าแล้วเจ้าตัวก็ก้มลงหวังจะลวนลาม
….ปลัก….
หมัดหนักๆไม่สบกับร่างอัดเข้าให้เต็มใบหน้าชั่วๆของชายผู้ไม่รู้จักเจียมตัวล้มลงเลือกไหลนองออกจากปากและจมูกกับพื้นห้องทลามกลาง

ความอึ้งของคนทั้งห้อง
"ธุระแห่งคิลเลียส ตามครอสล์มาพบฉันเดี๋ยวนี้" เสียงที่ดังกั่งวาลเฉียบขาดกว่าครั้งก่อน ไอความตายแผ่ทมึงออกจากร่างบางๆที่เริ่มน่ากลัวจนไม่มีใครสักคนในห้องกว้างกล้าแม้แต่จะสบตา
ความกลัวพุ่งเข้าจับใจนักดาบที่บางคนแทบไม่เคยได้รับรู้ ตระหนักผู้หญิงตรงหน้าไม่ใช่มนุษย์ดวงตาไร้ความรู้สึกใดๆแต่พลังอำนาจแห่งความตายเต็มเปี่ยมแววตานั้น
ปีศาจ ปีศาจแห่งความตาย
"เกิดอะไรขึ้น" เสียงสวรรค์ที่กล่าวขึ้นในความเงียบทำลายไออำมหิตหายไป
ครอสล์เดินลงมาตามบันไดด้วยสีหน้างงเมื่อเห็นใบหน้าของนักเรียนทั้งสายซีดเผือกจนน่ากลัวก่อนที่สายตาจะสะดุดกับร่างสตรีของใคร

บางคนยืนอยู่กลางห้อง
"เครอ…" ครอสล์ที่เกือบหลุดปากเรียกเปลี่ยนใจฉับพลัน "ตามฉันมา"
ร่างนักฆ่าหันหลังขึ้นห้องโดยร่างหญิงสาวเดินตามไป
"หมายความว่ายังไง"
ครอสล์ที่ตอนนี้ใบหน้ามีรอยความเครียดปรากฏให้เป็นครั้งแรกเมื่อสาสน์แดงจากคิลเลียสในมือน้องสาวถูกวางลงตรงหน้า ใบหน้าขี้เล่นของนักฆ่าที่ดูยังไงก็ไม่น่าจะเป็นนักฆ่าได้หายไปหมดสิ้น
"แล้วพี่คิดว่ายังไง" เคริเอน่าถามความเห็นพี่ที่หยิบสาสน์มาสำรวจอย่างพิจารณา
"สาสน์แดงแห่งคิลเลียสไม่ผิดแน่ๆ" ครอสล์ตอบ "แต่ไม่มีใครมีสิทธิส่งสาสน์นี้มาให้เธอไม่ใช่เหรอไง ในเมื่อตำแหน่งเธอมันสูงที่สุดในคิลเลียสหนิ คนที่จะสั่งได้มีแต่องค์กษัตริย์เท่านั้น"
"ใช่" หญิงสาวพยักหน้า "แต่คิลเลียสไม่มีกษัตริย์"

กฎการปกครองนครแห่งคิลเลียสคือ สามสาสน์ สาสน์แรกคือสาสน์ขาว เป็นจดหมายขอเสนอที่ยื่นให้กับนักฆ่าเพื่อว่าจ้างทำงานจะบรรจุในซองสีขาว นักฆ่าจะพิจารณารับหรือไม่รับงานก็ได้ สาสน์แดง คำสั่งฆ่า นักฆ่าที่ได้รับสาสน์นี้จะต้องฆ่าตามคำสั่งโดยไม่มีข้อแม้และผู้มีสิทธออกสาสน์นี้ได้คือผู้ที่ยศเหนือกว่า มือสังหารมีสิทธิสั่งนักฆ่าชั้นล่าง มือพิฆาตเองก็สั่งมือสังหารได้ซองที่ใช่จะเป็นสีแดงเลือด สาสน์สุดท้ายคือสาสน์ดำ คำท้าที่พวกระดับมือพิฆาตเท่านั้นที่มีสิทธิส่ง ผู้ที่ได้รับคำท้าจะต้องฆ่ากันเองจนกว่าจะตายไปข้างหนึ่งซึ่งส่วนจะท้าเพื่ออำนาจและชิงชัยกันเอง

"อย่างบอกนะว่า…"
"ถ้าที่คิดไว้ไม่ผิดตอนนี้ที่คิลเลียสคงกำลังมีใครอ้างสิทธิการขึ้นเป็นกษัตริย์อยู่แน่ และคนที่กล้าคงหนีไม่พ้นหนึ่งในสองเสนาบดีสูงสุดแห่งคิลเลียส"

"ในเมื่อไม่ใช่เธอก็ต้องเป็น" ครอสล์มองสบตาน้อง "เสนาบดี เคนนอล โคริมบัส แห่ง คิลเลียส"

ความลับสูงสุดของนครนักฆ่าคือตำแหน่งสองเสนาบดีผู้ปกครองแผ่นดินแทนกษัตริย์ที่ไม่เคยที่มีทราบแม้แต่ในระดับมือพิฆาตก็ตามที คนแรกคือ เคนนอล โคริมบัส นักฆ่าที่มีชื่อและเป็นที่รู้จักกันดีในตระกูลชั้นสูงต่างๆแม้ตอนนี้วัยจะเริ่มชราแต่ความสามารถการฆ่ายังเป็นที่ยกย่อง อีกคนคือ เคริเอน่า ไอเซอริน หรือที่รู้จักกันในฉายา ธิดาเทพ มือพิฆาตที่ตอนนี้หายสาบสูญไปเมื่อ 3 ปีก่อน
…..ปัง…..
เสียงตบโต๊ะดังลั่นตามแรงโทสะของเจ้าของ ครอสล์ แกรนต์คิลที่ยิ้มแสยะอย่างไม่สบอารมณ์อย่างหนัก สุรเสียงที่พยายามข่มความแค้นเต็มที่กล่าวขึ้นอย่างช้าๆ
"แล้วแกจะเอายังไง"
เคริเอน่ายังคงนั่งนิ่งอยู่โต๊ะเขียนหนังสือตอบเรียบๆ
"เรื่องนี้ฉันไม่รู้ แล้วแต่พี่เถอะเพราะยังไงฉันก็คงไปคิลเลียสไม่ได้อยู่แล้ว" นวลหน้างดงามนิ่งเฉยหันมาถามผู้เป็นพี่ชายอย่างหนักแน่น "จะอยู่รอดูคิลเลียสมีกษัตริย์ไร้ความสามารถ หรือ จะไปกันเล่า พี่"
ครอสล์นั่งนิ่งใช้ความคิด เพราะไม่มีกษัตริย์คิลเลียสการปกครองภายในจึงอ่อนแอกว่าที่ควรจะเป็น เคนนอลถึงจะดูแลแต่ก็ชอบใช้อำนาจไปในทางไม่ชอบ เครอนตั้งแต่หนีออกจากเดทมาก็คงไม่กลับไปอีก จะอยู่ หรือ จะไป
แม้สมองจะถามแต่ในใจตอนนี้ตัดสินใจไปเรียบร้อยแล้ว
"ฉันจะไปคิลเลียส"
เสียงหนักแน่นออกจากปากพี่ชายก่อนที่เจ้าตัวจะเดินไปจัดของ ใครอยากให้คิลเลียสกลายเป็นเมืองของเคนนอลกันเล่า ไม่มีกษัตริย์ดีกว่ามีกษัตริย์ที่อ่อนแอปกครองประเทศ ไม่มีผู้นำนักฆ่าก็อยู่ได้ย่อมดีกว่ามีผู้นำบ้าอำนาจ
ครอสล์จัดของลวกๆแล้วหยิบสาสน์แดงของน้องออกประตูจากไปแต่แล้วเท้าก็หยุดชะงักเมื่อน้องสาวเอ่ยถาม
"แน่ใจเหรอ"
ดวงตาฟ้าสบตากับนัยน์ตามรกตด้วยความมุ่นมั่นเต็มเปี่ยม ไม่มีรอยของความไม่แน่ใจฉายอยู่แม้แต่น้อย
"ใช่" เสียงหนักแน่นย้ำคำเดิม
รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิในตัวของบุรุษผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นพี่ชาย
"ยังไงก็ฝากด้วยแล้วกัน"

นึกไปนึกมาก็น่าสงสารหัวหน้าสายดาบชั้นปีห้าที่ต้องไปเป็นผู้ดูแลสายแทนเจ้าพี่บ้าที่หายหัวกลับนครนักฆ่าบ้านเกิดไปเรียบร้อยต้องขึ้นมาทำงาน

แทนมันเป็นครั้งที่สามในรอบปี ทั้งเอกสารสูงเป็นภูเขาที่เจ้าครอสล์เล่นหมักไว้เป็นเดือนๆต้องขนออกมาจัดการแทนมัน

แต่ที่แย่กว่านั้นคือข่าวที่ตอนนี้กำลังกลายเป็นหัวข้อสนทนาอย่างมันปาก
"รู้หรือเปล่าประธานสายดาบชื่อ ครอสล์ นั้นอะมีกิ๊กมาหา สวยมากเลยนะเฟ้ย"
"จริงดิ ฉันก็ได้ยินเหมือนกัน เห็นว่าพาขึ้นห้องด้วย"
"ไม่รู้ขึ้นไปทำอะไรกัน"
เจ้าเพื่อนบ้าที่สายเวทย์ปีหนึ่งกำลังสุ่มหัวคุยกันอย่างเมามันคันปากโดยไม่ได้รู้เลยว่าคนที่ตัวเองกำลังนินทาอยู่นี้นั่งในร่างผู้ชายที่กำลัง

หน้าบูดจัดข้างๆพวกมันอยู่นี้
"คงต้อง…" ดอฟคิดแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์
"ทะลึ่งใหญ่แล้ว" กัสว่าเพื่อนตัวดี
"อ้าว ก็ชายหญิงอยู่ในห้องสองต่อสองไม่ให้คิดแบบนี้แล้วจะให้คิดแบบไหนฟะ"
"เค้าอาจจะเป็นพี่น้องกันก็ได้นะค่ะ" เรนเสนอความเห็นอย่างมีมารยาท

"โถ ไอ้เครอนมันเคยบอกว่าพี่มันมีแต่น้องชาย" ดอฟเถียงก่อนจะหันมาถามเจ้าตัวแสบ "จริงไหมฟะ"
"เออ" เครอนตัดปัญาหาโดยในใจอยากจะตะโกนนั้นว่า
ก็ฉันนี้แหละน้องสาวมัน แล้วจะไปกิ๊กพี่ชายตัวเองได้ยังไงฟะ
"แต่ที่น่าแปลกคือเรื่องที่สายดาบบอกมาว่าผู้หญิงคนนั้นใส่ชุดนักเรียนชายสายเวทย์นี่สิ มันน่าแปลกนะครับ" เจมส์ที่เงียบอยู่นานเริ่มเข้าวง
"โถ เค้าอาจะเอาเสื้อญาติมาใส่ก็ได้มั้งเพราะชุดนักเรียนหญิงเรามันก็คล้ายๆของผู้ชายนั้นแหละ จะต่างก็แค่ปกเสื้อเอง"
"แต่สายเวทย์เราไม่มีใครที่พวกนั้นเล่ามาหนิ" โจนัทปั้นหน้าครุ่นคิด
"นั้นสินะ ผู้หญิงสวยราวกับเทพธิดา ดวงตามรกตเรือนผมน้ำตาลต้องแสงตะวันเป็นประกายทองแบบนี้มันไม่มีในสายเรานะ" โซรามอสหันมามองเพื่อนตัวแสบที่นั่งบูดกำลังได้ที่ "ถ้าเป็นผู้ชายหน้าเห่ยๆตามรกตกับผมน้ำตาลไม่เคยโดนหวีก็ว่าไปอย่าง"
เครอนหันค้อนเพื่อนควับ
"ผมว่าเค้าคงมาแจ้งข่าวจากคิลเลียสก็ได้นะครับ ก็เค้าพูดว่าธุระแห่งคิลเลียสไม่ใช่เหรอครับ" เจมส์ออกเหตุผลที่ฟังขึ้นมาให้เพื่อนๆทั้งกลุ่มเงียบครุ่นคิด
"ก็อาจเป็นไปได้" เสียงประสานจากเพื่อนจอมกวนทั้งกลุ่ม
เครอนที่นั่งฟังขอปลีกตวออกไปหามุมสงบนั่งเล่น การบุกสายดาบโดยไม่คิดเพราะตอนนั้นอารมณ์มันพาไปกลายเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ไปเสียได้
แค่คิดเจ้าตัวก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่
ขณะที่กลุ่มใหญ่กำลังมันกับหัวข้อสนทนาอีกสองคนที่ดูจะไม่สนใจเรื่องชาวบ้านออกมานั่งเดินหมากรุกบนกระดานธาตุอากาศอยู่ที่มุมสงบๆมุมหนึ่ง

ในห้องนั่งเล่นรวม
"ไงเครอน ทางนู้นเป็นไงบ้าง" เวล์เซนหันมาทักเมื่อตัวแสบทรุดตัวลงนั่งเก้าอี้ตัวหนึ่งในชุดโซฟาข้างๆ คารอสขยับตัวหมากสีขาวเดินเงิยหน้าขึ้นมองผู้มาเยือนก่อนจะกลับไปอ่านหนังสือในมือต่อ
"เบื่อ"
คำตอบสั้นๆที่เวล์เซนยังงง
ปกติมันพูดมากแต่ทำไมวันนี้มันพูดน้อยจนน่าสงสัย
"ข่าวเรื่องผู้หญิงปริศนานั้น" ปราชญ์เริ่มเข้าหัวข้อที่ตัวแสบออกอาการเบื่อเต็มที "นายเองสินะ"
"ใช่"
"แล้วไปทำอะไรที่สายเวทย์"
เครอนถอนหายใจพลางตอบสั้นๆง่ายๆจบเรื่อง
"ส่งจดหมาย"


ตอนที่ 50 ทาร์เร่น ลีฟ
เช้าวันใหม่สดใสไร้เมฆบดบัง แสงตะวันทองแสงอ่อนทอดลงสู่พื้นดินราวกับจะตอนรับวันแห่งการรอคอยพร้อมๆกับสายลมเย็นยามเช้าที่บอกหู้ว่าฤดูหนาวกำลังใกล้เข้ามาแล้ว ผู้ชมมามากหลายหลากจากเมืองใกล้ไกลทยอยกันมาหน้างานตั้งแต่เช้าตรูเพื่อจับจองที่นั่งกันอย่างคึกคักจนทำให้อัธจรรณ์ขนาดใหญ่กว่า

สนามฟุตบอลสองสนามรูป

ตัวยูล้อมจอใหญ่มหึมาสูงหลาย10เมตรที่จะถ่ายทอดภาพการแข่งขันภายในปราสาทที่ไม่อนุญาตให้ผู้ชมเข้ามาให้ดูสดๆดูเล็กไปถนัดตา

แต่คงมีไม่กี่คนที่รู้ว่างานเบื้องหลังความยิ่งใหญ่ของผลงานทั้งหมดแลกมาด้วยหยาดเหงื่อแรงงานและคราบน้ำตาของนักเรียนทั้งโรงเรียนช่วยกันทำขึ้นมา แต่เมื่อได้เห็นผลงานของตนเองสำเร็จออกมาเป็นความสุขสนุกสนานของทุกคนที่ดูแล้วความเหนื่อยนั้นกลับหายไปเป็นปริทิ้ง

"เครอนๆ เรื่องงานจัดการเวทย์ที่พี่ให้ไปยื่นส่งอาจารย์เมื่อวานนี้เป็นไง"
"เรียบร้อยแล้วครับ ทางอาจารย์บอกว่าเดี๋ยวพอเริ่มพิธีเปิดก็จะลงมาจัดการให้"
เจอลาวัตพยักหน้าก่อนจะจดลงบันทึกเพื่อความแน่ใจเป็นครั้งสุดท้ายก่อนพิธีจะเริ่มขึ้นในอีกไม่นานนี้ ใบหน้าหล่อเหลาคมคายที่อดหลับอดนอนมาหลายวันติดๆกันดูซีดลงมากแต่ถึงแม้ยังไงเจ้าตัวกลับยังยิ้มให้พวกรุ่นน้องแบบที่ทำเสมอให้พวกเขาอยู่ดี
ถ้าจะถามว่างานนี้ฝ่ายไหนรับงานหนักสุดคนพุดได้ว่าฝ่ายจัดสถานที่รอบนอกของพี่เค้าเนี่ยหนักที่สุด ไหนจะตากแดดตากฝนทำงาน ร่ายเวทย์สร้างอัธจรรณ์ที่ต้องทำเองทั้งหมดโดยไม่มีคณะอาจารย์ลงมาช่วยเหลือถือเป็นงานที่ทั้งใหญ่และเครียดจัด
"งั้นก็เรียบร้อยหมดแล้ว" รุ่นพี่หัวหน้าฝ่ายว่าขึ้นพร้อมกับมองผลงานใหญ่อย่างภาคภูมิใจ
"ผมว่ามันสวยดีนะ" เครอนกล่าวแม้ตายังคงมองภาพอัธจรรณ์ใหญ่
"อืม" เจอลาวัตรับก่อนจะหันมามองหน้ารุ่นน้องที่ร่วมทุกข์ร่วมงานกันมา
วันนี้ใบหน้ากวนๆของเครอนดูโทรมลงไปกว่าเก่าจนน่าเป็นห่วงเพราะเจ้าตัวยืนยันว่าจะช่วยเป็นลูกมืออดหลับอดนอนทำงานเป็นเพื่อนเขาท่าเดียว ดื้อ
"พี่ว่านายไปพักเถอะ งานทางนี้เรียบร้อยหมดแล้ว"
เครอนหันมามองหน้ารุ่นพี่ก่อนจะยิ้ม
"งั้นผมขอตัว"

ร่างเล็กๆของรุ่นน้องตัวดีจึงสาวเท้าเดินจากอัธจรรณ์ผู้ชมมายังกระโจมที่พักผู้เข้าแข่งขันปีหนึ่งที่ทางโรงเรียนตั้งไว้ในบริเวณลานหลังโรงเรียนอัน

เป็นจุดที่พักของนักเรียนลงแข่งทุกๆสาย ความจริงแล้วเขาไม่จำเป็นต้องมาที่นี่ก็ได้ถ้าไม่ติดที่ว่าสายเวทย์ดันจับฉลากเป็นฝ่ายดูแลตัวแทนผู้เข้าแข่งแทนที่จะได้ไปนั่งจองที่ดีๆเหมือนสายอื่นๆ

เวล์เซนมันบอกว่าที่โรงเรียนริสมาฟอรัสเรียนโดยไม่ต้องเสียค่าเทอมซักแดงส่วนหนึ่งก็มาจากงานการแข่งเนี่ย ค่าบัตรเข้าชมงานที่ได้ก็จะแบ่งมาใช้ในการเรียนการสอนและค่าอาหารที่พักแก่บรรดานักเรียนของโรงเรียน ผู้ง่ายๆคืองานนี้คือการหารายได้เข้าโรงเรียนอย่างหนึ่ง

"ไง เครอน งานทางฝ่ายนายเรียบร้อยแล้วเหรอ" เสียงทักจากโซรามอสที่กำลังเมามันกับการขัดดาบคู่ใจอยู่แถวๆข้างประตูกระโจมทักขึ้นทันทีที่ร่างของเพื่อนซี้เข้ามา โจนัทที่กำลังนั่งอยู่ข้างๆเองก็หันมายิ้มทักทาย
"อืม เรียบร้อยแล้วเหลือ"

บรรยายกาศภายในกระโจมใหญ่แสนจะวุ่นวายเป็นพิเศษเมื่อการแข่งขันกำลังจะเริ่มพวกตัวแทนต่างพากันเตรียมตัวให้พร้อมประกาศเรียกทุกเมื่อ สายนักดาบสวมชุถดเกราะอัศวินเต็มตัวจับกลุ่มปรึกษากันอยู่ที่มุมหนึ่งไกลออกไป ส่วนสายพ่อค้าและนักบวชดูจะสบายกว่าเพื่อนเพราะไม่ต้องรับหน้าที่หนักแค่เดินตามหลังอย่างเดียว เครอนหันไปมองหาคนรู้จักสายตาก็สะดุดอยู่ที่เจ้าเพื่อนซี้ฉายาปราชญ์อีกคนที่กำลังเดินหมากรุกอยู่กับฮิวเกอรี่ที่พากันโบกมือโบกไม้ทักทาย เอนนาเรียกับเรนอยุ่ไม่ไกลนักกำลังยุ่งอยู่กับการเตรียมอุปกรณ์พยาบาลให้พร้อมหลังการแข่งขันจบ ส่วนพวกของดอฟ และกัสเองก็ดูถ้าจะเมามันกับการจีบตำแทนสาวคนเดียวจากสายนักบวช สุดท้ายคารอสที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ที่โต๊ะเงียบๆตามเคยไม่มีแม้แต่กะจิตกะใจจะหันมาทักเพื่อนอย่างเขาเสียบ้างเลยหรืออาจเพราะมียัยสองเจ้าหญิง

นั้นคอยเกาะอยู่ด้วยก็ไม่รู้ คงต้องยอมรับความอดทนของมัน

ช่วยหน่อยก็ดี

เมื่อคิดได้ดังนั้นทางมันก็พาเดินไปยังจุดหมายเองโดยที่เจ้าตัวไม่ต้องสั่งการเพียงแต่ไปไม่ถึงเพราะมีเสียงเรียกจากตัวกวนประจำสายขัดเสียก่อน
"เครอน มาทางนี้หน่อย"
พอได้ยินดังนั้นโจนัท หรือแม้แต่เรนและเอนนาเรียที่กำลังยุ่งก็หันมามองกันก่อนจะเดินตามมาสมทบ
"อะไร" ตัวแสบถามขึ้นเมื่อรู้สึกว่าเพื่อนกำลังมีแผนการ "แล้วเจมส์ไปไหนเนี่ย"
"นั้นแหละเรื่องที่เราต้องบอกนาย" ดอฟว่าขึ้นพร้อมกับเหลียวซ้ายแลขวาก่อนจะลงเสียงลง "เจมส์มันยังอาการไม่หายดี นายก็รู้ ทำมันจะแกล้งทำเป็นแข็งแรงก็เถอะแต่ร่างกายมันถ้าเอาลงแข่งมันรับไม่ไหวแน่ๆเห็นมันยืนกรานท่าเดียวว่าจะลงๆฉันไม่รู้จะทำยังไงแล้ว"
"ใช่ๆ เมื่อวานพวกเราพยายามกล่อมมันแล้วแต่มันไม่ยอม" กัสสนับสนุน
"พวกนายเลยจะมาวานให้ฉันช่วย" คำถามตรงประเด็นจากเครอนเล่นเอาพวกเพื่อนๆมองหน้ากันก่อนจะยิ่งลดเสียงลงจนแทบกระซิบ
"ค่ะ พวกเราพยายามแล้วไม่สำเร็จสักคนถ้าเป็นคุณเครอนอาจจะสำเร็จก็ได้นะค่ะ"
ทุกคนพร้อมใจกันพยักหน้าเห็นด้วยกับเรน เครอนถอนหายใจ
"ความจริงฉันก็คิดจะไปอยู่เหมือนกัน" คำตอบที่พวกเพื่อนๆพากันยิ้ม "ตกลง"
คำตอบตกลงร่วมมือในที่สุดก่อนที่ตัวแสบจะหันมาถามคำถามเดิมที่ถามไปเมื่อตอนแรก
"เจมส์ตอนนี้อยู่ไหน"
"ที่กระโจมพยาบาลใหญ่โน้น" ชี้ไปที่กระโจมใหญ่กลางลาน
"อืม" ตัวแทนเจรจาหันไปทางมองแล้วพยักหน้าลุกขึ้นยืนประกาศลั่น "งั้นฉันไปก่อนนะ"
"เดี๋ยว" เสียงเย็นกล่าวขึ้นจากทางด้านหลังเล่นเอาทั้งกลุ่มสะดุ้งโดยเฉพาะกับนักเดินทางตัวดีที่แทบกระโดดก่อนจะทำใจดีสู้เสือหันไปสบกับนัยน์ตา

เย็นชาสีม่วงนั้น ด

ดูถ้ามันจะทนสองสาวนั้นไม่ไหวย้ายสำมะโนครัวมาหาที่อื่นอ่านหนังสือ เครอนคิดเมื่อเห็นในอ้อมแขนของคารอสยังคงถือหนังสือเล่มใหญ่ไว้ ส่วนเรื่องที่มันจะรู้เรื่องหรือไม่คนอย่างเครอน ทันเรอเรน คงไม่สามารถเจาะทะลุหน้ากากน้ำแข็งตายด้านของแฝดผู้พี่ตัวเองได้

"เรื่องครอสล์ แกรนต์คิล ลาเรนเซอร์ เอาไง"

คำถามที่เป็นต้นเหตุให้โดยเทศนานานเกือบทั้งคืนเมื่อวานในข้อหาบุกสายดาบโดยพลการแถมยังเป็นเหตุให้ครอสล์ลากลับประเทศไปอีกแต่ก็ยังโชคด

ีอย่างที่เขาไม่ได้ไปในร่างผู้ชายเพราะอูรานคู่กรณีที่เขาไปต่อยหน้ามันไว้เล่นประกาศอาฆาตลั่นโรงเรียนอย่างบ้าคลั่ง แค่คิดก็เสียวแล้ว

"ว่าไง นายบอกว่าครอสล์จะกลบมาทันการแข่งขันแต่อีกไม่นานการแข่งเราก็จะเริ่มแล้วนะ" โซรามอสกล่าวถามขึ้น
"ฉันบอกว่ากลับมาทันก็ทันสิ ถ้าไม่ถูกสั่งเก็บที่คิลเลียสเสียก่อนนะ" คำตอบที่เล่นเอาความเครียดทั้งกระโจมจนตัวแสบกล่าวตัดปัญหา "แต่ถ้าไม่ทันจริงๆก็บอกพวกสายดาบก็แล้วกันว่าให้หาคนอื่นมาแข่งขันแทน"
"เออ คุณเครอนค่ะ ช่วยไปเอาน้ำให้พวกเราหน่อยได้ไหมค่ะ"
น้ำเสียงหวานๆของเรนดังขึ้นทำลายความเครียดเมื่อสองเพื่อนผู้ไม่ทราบเรื่องแผนการเลิกคิ้วส่วนเครอนใช้สมองประมวลผลอย่างรวจเร็วก่อนจะ

เข้าใจถึงการให้ความช่วยเหลือจากเรนที่ให้เขาออกไปคุยกับไอ้เจมส์
"อืม รอแปบนะ"
เครอนขานรับก่อนจะฉวยโอกาสนี้รีบโกยออกไปจากกระโจมทันที ไม่ต้องรอสัญณาณไฟ
"เจมส์"
เสียงทักขึ้นจากทางด้านหลังเรียกเอาเจ้าของชื่อที่กำลังยืนเม่อมองออกไปออกไปยังท้องฟ้าไกลสะดุ้งขึ้นจากภวัง ดวงหน้าใสซื่อที่เป็นสุภาพบุรุษอยู่เสมอค่อยๆหันมาตามทิศของเสียงเรียก

ร่างของตัวแสบแห่งริสมาฟอรัสกำลังยืนพิงหน้าประตูกระโจมพยาบาลจ้องมองเขาด้วยแววตาจริงจังอย่างที่คนถูกจ้องเองยังแปลกใจและไม่เคย

คิดว่าคนที่เที่ยเล่นสนุกสนานตลอดเวลาจะมีแววตาแบบนี้ด้วยมันมีความรู้สึกหนาวๆร้อนๆหลังชอบกล หรืออาจเพราะในกระโจมตอนนี้ไม่มีใคร

อื่นเลยก็เป็นได้

"มีอะไรเหรอครับคุณเครอน" คำถามสุภาพกล่าวขึ้นก่อนตามด้วยอีกคำถาม "หรือว่าทางนั้นให้มาตามตัวผม"
"เปล่า" เสียงตอบแบบไม่ค่อยใส่ใจในคำตอบจากปากนักเดินทางพร้อมๆกับเท้าที่เดินเข้ามาใกล้
"งั้นเรื่องอะไรเหรอครับ"
ขนในกายพากันลุกเมื่อสบกับนัยน์ตามรกตที่ไม่แน่ใจว่าจะบอกความจริงจังหรือว่าข่มขู่กันแน่
"ฉันต้องคุยกับนายเรื่องการแข่งวันนี้ เจมส์ เอ็นคอรอไซร์" ใบหน้าของคนผู้เข้ามาใกล้ก่อนจะกระชากคอเสื้อเพื่อนร่วมชั้นลงมาสบตาแม้ตัวจะสูง

พอกันก็ตามที "นายปิดไปก็ไม่มิดหรอกเพราะฉันเคยเป็นหมอมาก่อนแค่ดูก็รู้แล้วว่าอาการนายมันยังไม่หายดี ถ้าลงแข่งอาจจะเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ ฉันว่านายขอถอนตัวไม่ดีกว่าเหรอไง"

ที่แท้มาก็เพราะเรื่องนี้นี่เอง
เจมส์คิดพร้อมกับยิ้มให้อย่างสุภาพ
"เป็นอย่างที่คุณเครอนว่ามาก็จริงครับ แต่การแข่งครั้งนี้สำคัญต่อชั้นปีและสายของเรามาก ผมได้รับหน้าที่ให้ทำก็ต้องทำให้ดีที่สุดแน่นอนครับ ไม่ต้องเป็นห่วง"
หมอนี่มันดื้อเงียบจริงๆด้วย
เมื่อไม้แข็งใช้ไม่ได้แบบนี้ก็ต้องใช้ไม้อ่อน
ว่าแล้วเจ้าตัวแทนเจรจาก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ทิ้งตัวลงนั่งลงบนเตียงข้างๆก่อนจะกลับมาทำหน้ากวนนิดๆแบบที่เห็นเป็นประจำอย่างเคย
"นายนี่มันเจรจายากจริงๆ ยอมแพ้" ตัวแสบยกมือขึ้นยอม
เจมส์ได้แต่มองยิ้มๆอยู่ไม่ไกลนัก
"อยากแข่งก็แข่งไปแล้วกัน ถ้าป่วยมาฉันไม่รู้เรื่องด้วยนะเฟ้ยแต่ถ้าตายก็มาเข้าฝันให้เลขด้วย จะได้รวยๆซะที"
"ถ้าคุณเครอนเป็นผู้หญิงคงได้รวยแน่ครับ"
คราวนี้ตัวแสบต้องชะงักกึกก่อนจะหัวเราะลั่นลงไปนอนกลิ้ง
"ทำไมอะ"
"ก็ถ้าคุณเครอนเป็นผู้หญิงคงได้แต่งงานเป็นภรรยาของคนรวยๆแบบคุณคารอสได้ยังไงล่ะครับ"
เท่านั้นเองคนนอนหัวเราะเป็นอันสะอึกแถมสะดุ้งพรวดขึ้นมานั่งลูบตัวปลอบขวัญตัวเองยกใหญ่ เพราะพอได้ยินข่นก็พากันลุกซู่โดยไม่ได้นัดหมายและโดยที่เจ้าของยังไม่ได้เตรียมใจรับ

ไอ้คารอส เท่ากับ หน้าตายด้านไม่แสดงอารมณ์ ขี้บ่นเหมือนเป็นพ่อไม่มีผิด เจ้าระเบียบซะผู้หญิงอย่างฉันยังอาย แถมเจมส์ยังบอกมาได้ว่ารวย ตังซื้อคทามันยังไม่มีเลย ไอ้จอมเวทย์ไส้แห้ง

"เหอะๆ แบบนั้นขอผ่านอยู่ด้วยมีหวังหนาวตาย" แล้วตัวแสบก็ใช่สมองอันแสนฉลาดโยนเข้าเรื่องทันที "ทาร์เร่นวันนี้ฉันกลัวว่านายจะเป็นลมเป็นแล้งไประหว่างการแข่งจนกลายเป็นปัญหาของทีมนี่สิ กลุ้ม"
พอพูดจบก็รีบหยิบหน้ากากคนกลุ้มสุดๆมีใส่ สมบทบาทชนิดที่สมควรได้รับตุ๊กตาทอง

"น่าจะไม่เป็นอะไรมากนะครับ"
มันยังดื้อ
"เจมส์ นายก็รู้ว่าเราฝันอยากได้รางวัลกันแค่ไหน" เครอนมองหน้าเพื่อนหนุ่ม

ก็ใช่สิ รู้เปล่าชนะการประลองเวทย์ ดาบ และหมากรุกจะได้เงินรางวัลชั้นปีละ 1000 เทรน แต่ถ้าชนะการแข่งทาร์เร่น ลีฟ จะได้เพิ่มเป็นสิบๆเท่าตัวเชียวนะ ใครจะไม่อยากได้ บางคนบอกเอาศักดิ์ครีก็ให้มันกินศักดิ์ครีไปส่วนเงินนักเดินทางตาดำๆก็ขอก็แล้วกัน เหอะๆ แผนชั่ว

"มันเป็นเกียติศักดิ์ศรีของชั้นปีเราเชียวนะเฟ้ย จริงไหม"
มาดนักการเมืองหาเสียเริ่มออก
"ครับ"
"เพราะฉะนั้น เพื่อสาย เพื่อชั้น นายยินดีจะเสียสละจนกว่าจะหมดลมหายใจ ก็จะสู้ สู้เพื่อชัยชนะ เราจะนำชัยมาประกาศว่าปีหนึ่งไม่ใช่ไร้ฝีมือเสมอไป เราจะเป็นที่หนึ่ง ความหวังของพวกเราทุกๆคน นายจะแบกรับเอง ใช่ไหม"
พูดอย่างเดียวไม่พอยังใส่ท่าทางกันสดๆชนิดที่นักการหาเสียงยังอายกันไปเป็นทิวแถวกับท่าทางประกอบของนักเดินทางหน้าด้านบางคนที่เล่นเอาคนตอบ

ของเราต้องอึ้งกิมกี่
"ตอบซะทีซิฟะ แอ็กท่านานมันเมื่อย" เครอนว่าเมื่อเห็นเจ้าเพื่อนมัวแต่จ้อง
"เออ…มั้งครับ"
"ดี" คนถามยิ้มพอใจในคำตอบก่อนจะตบไหล่เข้าให้ดังปาบแทบทรุด "งั้นสละสิทธิการลงแข่งซะ"
"หา…."
"ไม่หงไม่หาแล้ว นายลงแข่งในสภาพนี้มีแต่อันตราย ทาร์เร่นนะไม่ใช่กีฬาสีที่จะมาแข่งนิดหน่อยก็ชนะแล้ว"
"คุณเครอนครับ กรุณาให้ผมลงเถอะนะครับ"
เท่านั้นเองเสียงประกาศเรียกรวมตัวก็ดังขึ้นก่อนที่เครอนจะได้พูดอะไรต่อ เจมส์ค่อยๆยิ้มก่อนจะเดินผละออกจากกระโจมไปทิ้งให้ผู้เจรจาที่ใช้ไม้อ่อนก็แล้วไม้แข็งก็แล้วก็ไม่สามารถกล่อมคนดื้อเงียบได้สำเร็จ
งั้นก็ไม้ตายสุดท้าย
"เจมส์"
เสียงเรียกหยุดฝีเท้าของคนถูกเรียกชะงักลงทันที ดวงหน้าซื่อหันมาเลิกคิ้วเมื่อเห็นตัวแสบก้มหน้าเงียบก่อนจะกล่าวด้วยเสียงเรียบๆราวกับไม่มีอะไรให้คนฟัง
"นายพักให้สบายเถอะ"

"เจมส์ทำไมนายมาช้าชะมัด"
เสียงทักแรกดังขึ้นทันทีเมื่อร่างของตัวแทนคนสุดท้ายเดินทางมาถึงโต๊ะลงทะเบียนจากปากของเวล์เซนกำลังจับกลุ่มคุยแผนการแข่งที่เตรียมไว้ชี้แจงให้สาย

พ่อค้าและนักบวชทราบ
"ต้องขอโทษด้วยครับ คือเมื่อกี้คุณเครอนมีธุระกับผมนิดหน่อย"
"งั้นเหรอ" เวล์เซนพยักหน้าเข้าใจ
"เจมส์ๆ นายใช้คทาอะไรฉันจะได้ไปบอกคารอสถูก" โซรามอสวิ่งเข้ามาถามเพื่อนร่วมสายที่มาใหม่อย่างรีบเร่งพร้อมกับชี้ไปที่จอมเวทย์ที่ซึ่งกำลังลงทะเบียบอยู่ที่หน้าโต๊ะ
"ทางคณะอาจารย์บอกให้ลงชื่ออาวุทที่จะใช้ด้วย" จอมปราชญ์พูดเสริม
"ผมไม่ใช้คทาครับ" เสียงตอบสุภาพกลับมา
โซรามอสวิ่งกลับไปรายงานเพื่อนส่วนเจมส์ก็เข้ามาฟังแผนการของเวล์เซนทิ้งเพื่อนสายจอมเวทย์ผู้ซึ่งวางแผนเจรจายืนมองอยู่ไกลๆอย่างหมดหวัง

"ขนาดเครอนไปยังไม่สำเร็จเลย" กัสกล่าวพร้อมกับก้มหน้าจนปัญญา
เอนนาเรียข้างๆถอนหายใจก่อนจะกล่าว
"ช่างเหอะ เป็นไงเป็นกันเราไปจองที่นั่งกันเถอะ"
แล้วเพื่อนสายเวทย์ทั้งกลุ่มก็ถอดใจเดินจากลานออกไปยังที่นั่งชมแต่โดยดีเพราะขนาดส่งอาจารย์เครอน ทันเรอเรนออกโรงเองยังไม่สำเร็จแบบนี้หน้าอย่างพวกลูกศิษย์จะไปสู้ได้ยังไง
"ฮิวเกอรี่ เห็นไอ้เครอนบ้างไหม" เสียงทักของใครบางคนดังขึ้นเรียกสายตาของคนทั้งทีมอ้าปากค้างจนเสียวกบกระโดดเข้าท้องไปตามๆกัน
"พี่ครอสล์กลับมาได้ยังอะครับ"
คำถามจากน้องชายคนเล็กเล่นเอาพี่ชายกระตุกคิ้วเล็กน้อย
ถึงเครอนมันจะบอกว่าพี่มันกลับมาทันแน่ๆแต่ใครๆก็คิดว่ามันแก้ตัวทั้งนั้น เดินทางจากริสมาฟอรัสไปคิลเลียสอย่างเร็วที่สุดก็หนึ่งวันเต็มๆแล้วไม่นับกลับแล้วใครจะคิดว่ามันพูดจริง
"ต้องขอบคุณเจ้าเครอนมันที่ติดต่อนกฟินิกซ์มาให้ฉันใช้เดินทาง แปบเดียวก็ถึงคิลเลียสแล้ว เร็วเป็นบ้า"
"ฟินิกซ์?" ทุกคนทวนพร้อมกัน
ขนาดอูรานที่ตอนนี้พูดน้อยลงมากและคงเข็ดกับผู้หญิงสวยไปอีกนานเพราะหมัดเจ้าหล่อนล่อกรามแตกยับ คนพูดมากหน้าไม่หล่อแล้วยังหม้อจึงเป็นอันพูดแทบไม่ได้ยังเผลออุทาน
"พี่เครอนมีฟินิกซ์ด้วยเหรอ ทำไมผมไม่รู้" ฮิวเกอรี่ถามอย่างงง
"อันนี้ก็ไม่รู้ มันคงยืมเพื่อนมันมามั้ง" ครอสล์ยักไหล่เหมือนไม่ค่อยใส่ใจก่อนจะเริ่มบ่น "รู้เปล่า มันเร็วดีอยู่แต่นั่งแล้วหนาวเป็นบ้าเลยฉันเกือบแข็งตายคางหลังอยู่แล้ว"
"นั่งแล้วหนาว…"
"ฟินิกซ์หิมะ" คำตอบจากจอมเวทย์ที่ยืนฟังเงียบอยู่นานพูดขึ้นเรียกความเงียบกริบกลับมาเหมือนเดิม
"นกฟินิกซ์ในตำนาน" เวล์เซนชี้แจง "นกฟินิกซ์บางคนอาจจะเคยเห็นก็จริงแต่ถ้าเป็นฟินิกซ์หิมะแหละก็มีเพียงแค่ตัวเดียวเป็นสัตว์ในตำนานของลีฟ ไม่น่าจะเป็นสัตว์รับใช้ของใครได้"
ความเงียบเข้าปกคลุมพื้นที่ราวกับป่าช้าในที่สุดคนทนความเงียบไม่ไหวจำต้องเปลี่ยนเรื่อง
"ว่าแต่เราต้องแข่งกันเมื่อไหร่ ฉันอยากจะเปลี่ยนเสื้อหน่อย"
คำพุดที่สร้างความงุงงงแก่คนฟัง ทั้งกลุ่มพร้อมใจกันสำรวจเสื้อของประธานสายดาบอย่างไม่ได้นัดหมาย

เสื้อที่ดูผ่านๆก็คงไม่เห็นอะไรเพราะเจ้าตัวสวมเสื้อคลุมประจำสายทับไว้แต่ถ้ามองดีๆก็จะเป็นคลาบเลือดที่สาดกระเด็นมาติดอยู่บริเวณชายเสื้อและคอปกเสื้อ บางคลาบยังสดๆใหม่ๆอยู่เสียด้วยซ้ำไปจนสาวคนเดียวในทีมหน้าซีดต้องเมินหน้าหนีแสดงให้เห็นว่าการไปคนั้งนี้เกิดอะไรขึ้นที่คิลเลียสอย่าชัดเจน

"อีกห้านาที คงไม่ทัน" เอนทารีดัสตัวแทนจากสายดาบกล่าวพลางดูเวลา
"ช่างมัน"
"ให้พี่คารอสสมานแผลให้ก่อนก็ได้หนิครับ" ข้อเสนอจากความหวังดีของฮิวเกอรี่ดูจะเป็นไปในทางตรงกันข้ามเมื่อพวกสายดาบทำหน้าเหมือนโดนตบหน้ายังไงยังนั้นหันมาถลึงตามอง
"เรื่องอะไรที่สายดาบต้องขอให้สายเวทย์ช่วย" เสียงของนักดาบอีกคนนามฟรานว่า
สองสายนี้มันจะไม่ทะเลาะกันฟ้าคงจะถล่มแน่ๆ
"คุณฟรานอย่างโกรธไปเลยครับ ผมว่าน้องฮิวเกอรี่เขาไม่ได้ตั้งใจ" เจมส์รีบเข้ามาห้ามทัพเมื่อเห็นสถานการณ์ไม่ดีพร้อมๆกับดึงรุ่นน้องสายนักบวชออกไปจากเขตพื้นที่อันตราย


หลังจากการตรวจรายชื่อผู้ลงแข่งและอาวุทต่างๆที่จะใช้แล้วนักเรียนตัวแทนแต่ละคนจะต้องถูกเรียกเข้าไปตรวจอาคมกับอาจารย์ซึ่งประจำอยู่แต่ละห้องๆ

เพื่อจะได้ทันต่อการระบายนักเรียนว่าใช้อาคมอะไรก็ตามที่ถือเป็นการทุจริตในการแข่งขังหรือไม่อย่างเข้มงวดทุกระเบียบนิ้วเพื่อที่การแข่งขันจะ

ได้เป็นไปตามกฏ

ระเบียบที่ทางโรงเรียนวางไว้ นักเรียนที่ผ่านก็จะออกมาจากประตูอีกด้านที่อยู่ด้านหลังเพื่อเข้าสู่ห้องชี้แจงระเบียบและกติกาการแข่งของปีนี้

ตัวปัญหาประจำปีคงหนีไม่พ้นนักฆ่าที่พึ่งกลับมาจากการเดินทางถูกจับตรวจนานกว่าทางอาจารย์จะยอมปล่อยให้ออกมานั่งฟังกับคนอื่นๆได้เพราะคลาบเลือด

ที่เจ้าตัวไม่มีเวลาจัดการ

"การแข่งขนในปีนี้จัดขึ้นใหม่จากครั้งก่อนๆที่จะเป็นการทดสอบฝีมือเพียงอย่างเดียวมาเป็นการแข่งทั้งปัญญาและความสามารถ ครึ่งแรกนั้นเป็นการตอบปัญหาสามเรื่องคือเรื่องการปกครองของอาณาจักรลีฟ ประวัติศาสตร์สงครามระหว่างเดทและลีฟ และเรื่องการดูแลจัดการประเทศริสมาฟอรัส ส่วนการแข่งขันครึ่งหลังเราจะปล่อยนักเรียนออกไปครั้งละทีมเพื่อเข้าไปทดสอบฝีมือ ทีมไหนที่ทำเวลาได้ดีที่สุดจะนำคะแนนที่ได้มาคูณกับคะแนนคำถามในครึ่งแรกทีมไหนมีคะแนนสะสมมากที่สุดจะเป็นทีมที่ชนะ" อาจารย์ชราจากสายนักบวชหยุดอ่านก่อนจะพลิกเปลี่ยนหน้าต่อไป "ด่านทดสอบปีนี้ทางคณะอาจารย์จะมีของวิเศษอยู่11 ชิ้นตามจุดต่างๆให้แต่ละทีมหาวิธีเอาของมาให้มากที่สุดชิ้นหนึ่งเท่ากับ100คะแนนแต่ถ้าออกมาช้ากว่ากำหนดจะถูกหักนาทีละ10คะแนนไปเรื่อยๆ

ถ้าเลย1ชั่วโมง

จะปรับแพ้เป็นโมฆะทันที เพราะฉะนั้นถึงจะไม่ได้ของครบก็ขอให้ดูเวลาว่าใกล้หมดแต่ถ้าได้ของครบแล้วก็ให้ออกมาได้เลยจะได้คะแนนโบนัสเพิ่มให้อีก แต่อย่างลืมว่าทั้งทีมจะต้องออกมาพร้อมกันห้ามทิ้งใครคนใดคนหนึ่งไว้ สุดท้ายนี้…" อาจารย์วางกระดาษชี้แจงลงก่อนจะขยับแว่นตา "ครูขอเตือนเธอว่าการแข่งทาร์เร่นนั้นเป็นการแข่งขันที่อันตราย เคยมีคนตายเพราะการแข่งนี้มาแล้วขอให้พวกเธอระวังตัวให้ดี แต่ถ้าไม่ไหวก็สามารถที่จะยิงลูกไฟสีแดงขึ้นฟ้าเป็นสัญญาณของความช่วยเหลือออกมาทางอาจารย์จะเข้าไปช่วย ขอให้นักเรียนโชคดี แข่งครึ่งแรกเดินเข้าไปที่ประตูด้านนั้น" หล่อนชี้ไปทางประตูใหญ่ทางด้านซ้ายมือ "จะมีคนอธิบายกติกาให้เอง"

นักเรียนพากับลุกจากที่นั่งเดินเข้าสู่ห้องแข่งแรกก็เป็นอันชะงัก

ห้องขนาดใหญ่ที่ถึงแม้จะสู้หอสมุดกับหอประชุมไม่ได้แต่ก็ใหญ่พอที่จะจุกระดานหมากรุกขนาดใหญ่ที่มีตัวเบี้ยสูงครึ่งเมตร ขนาดม้า เรือ บิชอปสูงสองเมตร และคิงกับควีนที่เกือบสามเมตรหนึ่งกระดานกลางห้อง แสงไฟจากคบเพลิงโบราณที่เรียงรายอยู่บนผนังห้องเป็นเพียงแสงเดียวที่ทำให้มองเห็นทั้งๆที่ห้องที่เข้ามายังสว่างแต่ห้องนี้ทั้งมืดและวังเวง บรรยากาศน่าขนลุกเป็นที่สุดยิ่งเมื่อส่องกระทบตัวหมากที่ตั้งอยู่ราวกับคนเดินพึ่งเริ่มเกมส์แล้วค้างไว้ แต่ถ้าสังเกตดีๆแล้วหมากกระดานนี้แปลก

หมากดำบนกระดานนี้ดูเหมือนเตรียมรุกพร้อมแต่กลับไม่รุกส่วนหมากขาวดูจะเดินแบบไม่มีแผนการ ถ้าให้คิดจริงคงต้องคิดว่าคนเดินหมากดำนั้นทั้งฉลาดและวางแผนเยี่ยมตรงข้ามกับคนเดินหมากขาวที่เดินไม่รู้เรื่องเหมือนปิดตาเดิน แต่ที่น่าสงสัยที่สุดอยู่ที่หมากดำตัวหนึ่งบนกระดานนี้หายไปทั้งๆที่ตัวอื่นยังอยู่ครบ ตัวที่ถ้าอยู่กระดานนี้คงจะปิดไปเรียบร้อยแล้ว

ควีนดำหายไปไหน

"ด่านประลองปัญญาแรกของพวกเธอ" เสียงแหลมดังขึ้นเวลาเดียวกับบานประตูปิดปังจนนักเรียนที่ขวัญอ่อนสะดุ้งร้องสุดตัว อาจารย์ร่างเล็กที่ดูท่าจะเป็นแม่มดชรามากแล้วเดินมายืนตรงหน้าพร้อมกับกระดาษเก่าๆจำนวนห้าแผ่นในมือ "ขอให้ส่งตัวแทนมารับกระดาษคำถามเรื่องเกี่ยวกับประวัติสงครามระหว่างลีฟและเดททีมละคน"

"นายออกคารอส" เสียงกระซิบการเพื่อนข้างๆ
จอมเวทย์แห่งความสว่างพร้อมตัวแทนจากรุ่นปีปีอื่นๆจึงเป็นผู้ลงแข่งคนแรกของทีมปีหนึ่งไปรับกระดาษจากอาจารย์มาอ่าน คิ้วของทั้งหมดก็ขมวดขึ้นพร้อมกันเพราะทันทีที่พวกเขาอ่านข้อความจบอักษรก็หายไปจากหน้ากระดาษอย่างไร้ร่องรอยกลายเป็นกระดาษเปล่าขึ้นมาทันที

อาจารย์แม่มดเก็บกระดาษคืนก่อนจะหันไปถามคำถามตัวแทนรุ่นพี่ปีห้าเป็นคนแรกด้วยภาษาที่คนฟังไม่เข้าใจ

"ภาษาวินเทอคัส" เจมส์และเวล์เซนพึมพำ
อาจารย์รู้ได้ยังไงว่านักเรียนคนนั้นเป็นคนวินเทอคัส
เมื่อถามจบรุ่นพี่ก็ตอบออกมาด้วยภาษาเดียวกันกลับอาจารย์แม่มดพยักหน้าแล้วจดคำตอบลงในกระดาษก่อนจะถามนักเรียนคนอื่นต่อไปด้วยภาษาถิ่น

ประเทศบ้านเกิดของคนตอบ
ในที่สุดก็เหลือนักเรียนชั้นปีหนึ่งและปีสองที่ยังไม่ได้ตอบคำถามทังที่ปกติอาจารย์จะไล่ถามจากปีห้าลงมาแต่คราวนี้เปลี่ยนข้ามนักเรียนชั้นปีหนึ่งแทน

ที่จะเป็นปีสอง
ภาษาที่อาจารย์พูดเป็นภาษาที่แปลกกว่าครั้งอื่นๆ หรืออาจะเพราะแม้แต่เวล์เซนยังไม่รู้ว่าคือภาษาอะไร คารอสดูจะเป็นคนที่ตอบสั้นที่สุดในบรรดานักเรียนทั้งหมดจนอาจารย์เลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ แล้วในที่สุด…
"ตัวแทนปีสอง คำถามที่เธอได้คือสงครามระหว่างลีฟและเดทเคยเกิดขึ้นหรือไม่ ถ้าเกิดขึ้นเกิดจากอะไรเป็นชนวนแห่งสงครามในครั้งนั้นและผลของสงครามเป็นอย่างไร" อาจารย์ถามคนสุดท้ายด้วยภาษากลาง
คนถูกถามยิ้มกว้างราวกับคำถามนั้นง่ายยิ่งกว่าปลอกกล้วยเข้าปาก
"เคยครับอาจารย์เมื่อหลายพันปีก่อน ชนวนสงครามเกิดจากที่เดทรุกรานลีฟจนเป็นเหตุให้เกิดสงครามและผลของสงครามคือเดทฝ่ายแพ้และถูกยึดพื้นที่ที่ตอนนี้คือประเทศทาร์รอส วินเทอคัส และเวสท์แลนต์"
อาจารย์จดโดยไม่พูดอะไรแต่ในใจคนบางคนที่รู้ถึงคำตอบที่แท้จริงคงมีไม่กี่คนว่า
เดทและลีฟไม่เคยทำสงครามกันมาก่อน เมื่อหลายพันปีที่นักเรียนรุ่นพี่ทั้งหมดตอบมาผิดทั้งหมดเพราะเหตุการณ์นั้นคือการเจรจาที่กษัตริย์สุงสุดของลีฟ เทรนนอส ได้ขอพื้นที่ครึ่งหนึ่งจากเฮนเทียลผู้เป็นจักรพรรดิแห่งความมืด ส่วนที่คนเข้าใจผิดคิดว่าเป็นสงครามคือแม้เฮนเทียลจะกล่าวยกให้แต่ก็ไม่ได้ไล่ปีศาจที่อยู่ก่อนออกไปให้ด้วย พวกลีฟรุ่นแรกจึงต้องทำสงครามไล่ปีศาจออกเอง ถึงจะเป็นสงครามแต่ก็ไม่นับ คำตอบที่ถูกจึงต้องตอบว่า
ไม่เคยมีสงครามระหว่างราชอาณาจักรเดทกับอาณาจักรลีฟมาก่อน
แต่คารอสมันตอบว่าอะไรหรือถูกหรือไม่นั้นพวกเขาไม่อาจทราบได้

"เวล์เซน"
จอมเวทย์แห่งโครนอสสะกิดเพื่อนข้างๆเบาๆหลังจากที่ทั้งหมดออกมาจากห้องทดสอบความรู้แรก จอมปราชญ์ข้างๆดูจะยังงงหันมาถาม
ออกจากห้องมืดก็มาเจอแสงสว่างจากระเบียงปีกตะวันตกเข้าให้ตาลายเล่น
"อะไร"
"นายเห็นกระดานหมากรุกในห้องนั้นหรือเปล่า" คารอสชี้ไปที่ประตูห้องที่พวกเขาพึ่งจะออก
จอมปราชญ์เลิกคิ้ว
"กระดานหมากรุก?" เวล์เซนทวนคำด้วยน้ำเสียงที่ทั้งงุงงงและสงสัย "ไม่เห็นอะไรหนิ ห้องนั้นถึงจะมืดยังไงตาฉันก็ยังมองเห็นเป็นห้องเปล่าๆอยู่ดี ไม่เห็นมีกระดานหมากรุกอยู่ในห้องนั้นซักกระดาน"
แล้วทำไมเขาถึงเห็นกระดานนั้นคนเดียวกันเล่า หมากกระดานปริศนาในห้องมืดนั้น
"เวล์เซน นายเดินไปก่อนเดี๋ยวฉันตามไป"
คารอสกล่าวบอกเพื่อนก่อนที่จะสาวเท้าเดินกลับไปทางเดิมที่มาความรู้สึกสังหรณ์แปลกๆในเรื่องเกี่ยวกับหมากนี่ ทั้งควีนดำที่หายไปนั้นทำไมเขาถึงรู้สึกคุ้นเคยนั้นราวกับเคยเห็นควีนนั้นมาก่อนและยังบิชอปกับควีนขาว รู้สึกเหมือนหมากกระดานนี้มันมีชีวิต กำลังเดินเกมส์ที่ไม่ใช่แค่เดินหมากเล่นธรรมดาๆ
บานประตูใหญ่ถูกดันเปิดอ้าออกด้วยแรงของคนที่ผลักออก ดวงตาสีม่วงค่อยๆปรับเข้ากับความมืดจนภาพมัวๆค่อยๆกลับมาชัดเจน
ว่างเปล่า
ห้องที่แสนจะมืดมิดห้องนั้นว่างเปล่า ไม่มีแม้แต่ร่องรอยของหมากหรือแม้แต่ช่องกระดานหมากบนพื้นหินเก่าๆให้เห็นแม้แต่น้อย เพราะทั้งห้องมีแต่ความมืด เงียบเหงา และวังเวง เหมือนแววตาลึกๆสีมรกตของใครบางคนที่แม้แต่ดวงตาแห่งเทพของเขาก็ไม่อาจเจาะทะลุเข้าไปได้
ดวงตาของเจ้าหญิง แห่ง ความมืด
แต่แล้วความคิดของจอมเวทย์ก็ต้องหยุดชะงักเมื่อมีเสียงดังขึ้นจากมุมๆหนึ่งของห้อง มุมอับที่แสงสว่างจะโคมโบราณไม่อาจส่องถึงมีใครบางคนหรือตัวบางตัวเคลื่อนไหวอยู่ เสียงที่แผ่วเบาแต่ไม่อาจรอดประสาทสัมผัสที่บิดาผู้เป็นเทพถ่ายทอดให้
"ใคร" เสียงที่พูดออกจากปากดังสะท้อนกับกำแพงหินเก่า
ความเงียบยังคงเป็นคำตอบ บรรยากาศที่วังเวงราวกับได้ยินเสียงหัวเราะเยาะดังแว่วมาในความเยือกเย็นที่สะท้านเข้าไปถึงกระดูกทั้งๆที่ในห้องนั้นไม่มีลม ตัวอะไรบางอย่างมีอยู่ในห้องยังคงไม่ขยับหรือรอจังหวะก็ไม่รู้ได้
จอมเวทย์ก้าวเดินเข้ามายืนอยู่ใจกลางห้องกว้างใหญ่สายตายังไม่ละจากมุมห้อง กลิ่นหอมบางๆเริ่มเข้าทะปะจมูกพร้อมๆกับหมอกควันจางๆเริ่มรายล้อมห้องจนมองเห็นไม่ค่อยชัดเจน
เขตอาคม
แกร่งกล้ามากด้วย จอมเวทย์คิด สิ่งที่เขากำลังเผชิญอยู่นี่ไม่ใช้ธรรมดา ขนาดสร้างเขตอาคมระดับสูงแบบนี้ได้
เสียงหายใจดังๆดังขึนจากมุมห้องนั้นพร้อมๆกับเท้าที่ก้าวออกมากระทบแสงสลัวๆ ร่างของบางสิ่งปรากฏให้จอมเวทย์ที่อยู่ด้วยถึงกับเบิกตากว้างแม้สีหน้าเย็นชายังคงไม่เปลี่ยน
เขี้ยวยาวคมกริบสีขาวแยกออกพร้อมจะฉีกกระชาก อุ้งเท้าใหญ่เล็บยาวขนสีเงิน ดวงตาสีม่วงเข้มจับจ้องมายังเพื่อนร่วมห้องนิ่งอย่างไม่พอใจที่มีคนมารบกวน แต่ที่น่าตกใจกว่านั้นคือร่างที่สูงกว่าหมาป่าธรรมดาเกือบ3เท่าตัวคำรามลั่น

"คุณคารอสไปไหนหรือครับ" เจมส์หันไปถามเมื่อสังเกตเห็นเวล์เซนเดินมาเพียงลำพัง
"คารอสมันบอกว่าเราไปก่อนเดี๋ยวมันจะตามไป" เวล์เซนตอบ "เห็นมันวิ่งไปทางห้องมืดที่เราพึ่งเข้าไปนั้น" จอมปราชญ์ชี้ไปที่ห้องที่อยู่ไกลนู้น
"เหรอครับ งั้นผมไปตามก็แล้วกันนะครับเดี๋ยวเข้าแข่งทาร์เร่นครึ่งหลังไม่ทัน คุณเวล์เซนแข่งตอบปัญหาที่เหลือไปก่อนเลยแล้วกันนะครับ"
"ก็ได้ เดี๋ยวตามมาก็แล้วกัน"
ทั้งกลุ่มเดินจากไปทิ้งเจมส์ไว้เบื้องหลัง ชายหนุ่มค่อยๆเดินกลับทางเก่าไปตามเพื่อนร่วมสายแต่เมื่อเดินเข้ามาใกล้ฝีเท้าก็ต้องหยุดชะงัก
กลิ่นไอเวทย์คุ้นเคย
ฝีเท้าที่เดินออกวิ่งอย่างรวจเร็วกระชากบานประตูเปิดดังสนั่นพร้อมกับปากที่ตะโกนภาษาบางอย่างไปโดยที่ตัวเองไม่ได้ตั้งใจ ดึงความสนใจของหนึ่งหนุ่มกับอีกหนึ่งตัวไว้ก่อนที่สงครามจะบังเกิด

คารอสหันมามองเพื่อนผู้เป็นสุภาพบุรุษพูดภาษาบางอย่างที่เขาไม่เข้าใจมาก่อนแต่ไม่รู้ทำไมคารอสถึงรู้สึกราวกับเป็นภาษาที่ทำให้ความรู้สึกในใจหดหู่ ภาพเหตุการณ์เลวร้ายเมื่อ8ปีก่อนผุดขึ้นมาในใจอีกครั้ง

หมาป่าเงินดูเหมือนจะเข้าใจในภาษาที่เจมส์พูดก่อนที่จะหันมาพูดกับคารอส
"คุณคารอสครับ ดูเหมือนหมาป่าตัวนี้หลงทางเข้ามาอะครับเดี๋ยวผมจะพาไปหาอาจารย์ก่อน คุณคารอสรีบไปหาพวกคุณเวล์เซนเถอะครับ ทางนี้ผมจัดการได้"

ว่าแล้วเจมส์ก็จูงหมาป่าเงินออกจากห้องไปทิ้งไว้ให้จอมเวทย์มองตามด้วยคำถามที่งง
เจมส์พูดภาษาพวกหมาป่าเป็นด้วยหรือ

"คิดอยู่แล้วว่าต้องเป็นพี่" ชายหนุ่มพูดเรียบๆตัวชายคนโตข้างๆตัวที่ผมสีเงินยุ่งเหยิงแถมยังเปลือยท่อนบนเผ่ยให้เห็นแผ่นอกกว้างที่สาวๆเห็นต่างก็อยากจะวิ่งมาซบ
"รู้ได้ยังไง"
ตัวเล็กยิ้มให้ก่อนจะยื่นกระดาษเก่าๆที่ผุดกรอบขึ้นมาส่งให้
"กระดาษนั้นผมอ่านตั้งแต่พึ่งเรียนเทอมแรกแล้ว สมาชิกหอสมุดกิตติมาศักดิ์อย่างผม"
กระดาษที่คนตัวโตกว่าพยายามซ่อนตอนที่คนตัวเล็กทักขึ้นใครจะไปรู้ว่าเจ้าตัวรู้แล้ว
เจ้าเล่ห์จริงๆ

หลังจากการตอบปัญหาทดสอบความรู้ครึ่งแรกของการแข่งขันทาร์เร่นผ่านรวดด้วยฝีมือจอมปราชญ์แห่งสายเวทย์ที่ข่มขวัญสายคู่อริอย่างสายดาบ

กระจุยส่วน

สายอื่นได้แต่มองตาปริบๆ คะแนนของปีหนึ่งที่ใครๆต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าแพ้แน่ก็ตีเสมอรุ่นพี่ปีห้าซึ่งเป็นเต็งหนึ่งของการแข่งได้อย่างเหลือเชื่อ ความดีความชอบครั้งนี้คงต้องยกให้เจ้าเวล์เซนไปอะนะ
"พักเที่ยงซะที"
ดอฟกล่าวขึ้นพร้อมกับบิดขี้เกียจหลังจากเฝ้าดูการแข่งครึ่งแรกจากจอถ่ายทอดสด ส่วนกัสและโจนัสอ้าปากหาวกว้างน้ำตาไหลพรากหลังจากดูการตอบปัญหายากๆมันหยด
จนหลับสัปงกแล้วสัปงกอีกสามตลบตกเก้าอี้
"ว่าแต่เครอนมันหายไปไหนวะ ไม่เห็นตัวมันตั้งแต่ให้ไปหาไอ้เจมส์แล้ว" กัสขยี้ตาก่อนจะหาวซ้ำอีกรอบ
"คุณเครอนอาจจะไปช่วยงานที่ฝ่ายก็ได้ค่ะ เห็นว่าฝ่ายดูแลบริเวณรอบนอกยังมีงานต้องทำอยู่" เรนที่นั่งดูการแข่งพูดขึ้นมานาน
"ช่างเหอะ ตัวแสบนั้นปานนี้ไปนอนเล่นอยู่ที่นั่งวีไอพีแล้วมั้ง" ดอฟพูดพร้อมกลับชี้ไปยังที่นั่งวีไอพีด้านหน้า "แต่เดี๋ยวคงโผล่ออกมาเองแหละ"
"คือว่าเรารีบเอาข้าวกลางวันไปให้พวกตัวแทนเถอะค่ะ" เรนเสนอพร้อมกับหยิบกล่องข้าวที่ทำเองเตรียมไว้แล้วเดินนำออกจากที่นั่งไปยังกระโจมที่พักพร้อมด้วยเอนนาเรียที่ช่วยหอบกล่องที่เหลือ
"ฉันว่าเรนคิดถึงใครมากกว่า เห็นแอบยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เวลาเขาแข่งตลอดเลย" กัสพึมพำ
"เหรอ ใคร คารอสเหรอวะ" สองเพื่อนเริ่มมาสุมหัว
"แต่อย่างว่าไอ้หมอนี่มันเกิดมาหล่อ เรนเองก็ออกจะสวยใช่ย่อยเหมือนกันขนาดมีหนุ่มสายอื่นมาจีบทั้งสวนแถมน่ารักเรียบร้อยแบบนี้ ไม่เหมือนผู้หญิงบางคน…"
"นี่….มาช่วยกันหน่อยได้ไหม จิตใจพวกนายคิดจะให้ผู้หญิงเค้าถืออย่างเดียวไม่คิดจะช่วยบ้างเลยหรือไง" เอนนาเรียหันมาโวยจนวงเป็นอันต้องแตกมาช่วยถือข้าวกล่องแต่โดยดี
ไม่บอกก็รู้ว่าใครก็ผู้หญิงมันมีอยู่แค่สองคนนี่หว่า ไม่นับสองเจ้าหญิงนั้นนะ
"แกจำร่างแปลงของไอ้เครอนเมื่อตอนสอบแปลงร่างได้ไหมฟะ" บทสทนทาไม่วายปิด
"จำได้ สวยมากๆ ถ้ามันเป็นผู้หญิงสวยแบบนี้จริงๆนะฉันจะขอแต่งงานไปแล้ว"
"เกินไปไอ้กัส" โจนัทเตือน
"เกินไป?" กัสเลิกคิ้ว "น้อยไปด้วยซ้ำ มีเมียสวยเหมือนเทพธิดาแบบนี้หาได้ที่ไหน แล้ว…"
"เสียแต่มันเป็นผู้ชาย"
คำพูดดักคอจากโจนัทเล่นเอาเพื่อนปากดีเป็นอันหุบสนิท ถึงจะสวยแค่ไหนแต่ฉันก็ไม่ใช่ไม้ป่าเดียวกันโว้ย
"เสร็จรอบแรกซะที" โซรามอสกล่าวพร้อมกับทรุดตัวลงนั่งอย่างหมดแรง
"นายยังไม่ได้แข่งอะไรเลยไม่ใช่เหรอ" เวล์เซนยิ้มให้กับเพื่อนก่อนจะหันไปเหลือบมองจอมเวทย์ที่มาหยิบหนังสือไปอ่านต่อ
"ก็ช่วยเอาใจช่วยไง" คำตอบจากเพื่อนทำเอาปราชญ์ยิ้มมุมปากแต่โซรามอสก็ยังว่าต่อ "เพราะยังไงคนอย่างฉันคงไม่มีปัญญาตอบปัญหาว่าด้วยทฤษฎีการเจริญสัมพันธ์ไมตรีฉบับที่4268หรือข้อพันธะแตกต่างระหว่างกฎหมายการสั่ง

การปกครองฉบับพระมหากษัตริย์และองค์จักรพรรดิได้เหรอ คนอย่างฉันแค่เห็นคงจะเป็นลมตายไปซะก่อน"
เวล์เซนไม่ได้ตอบอะไรได้แต่ยิ้มๆก่อนจะผละตัวออกจากเพื่อนรักไปหาหนังสือที่ชั้นข้างๆคารอส
"หิวชะมัด เมื่อไหร่ข้าวจะมาซะที" เสียงบ่นจากอูรานที่บ่นไม่เจียมสังขารจนสวรรค์รำคาญหรืออย่างไรสั่งลงโทษให้เป็นอันกรามค้าง สภาพหุบปากไม่ได้
แต่แล้วนรกคงสงสารเมื่อเพื่อนจากสายเวทย์เดินเข้ามาพร้อมๆกับข้าวกล่องๆใหญ่หอมหวนชวนน้ำลายไหล แต่ที่ดูจะเป็นอาหารตาดีที่สุดคนหนีไม่พ้นสองสาวคนถือที่ยิ้มกว้างสดใสทำให้ใจชุ่มชื้น
"ขอโทษที่ให้รอนะค่ะ" เสียงหวานของเรนกล่าวพร้อมเพื่อนๆที่ช่วยเอาข้าวไปแจกให้ตัวแทน เธอสาวเท้าไปที่คนที่อยู่ใกล้ที่สุดพร้อมด้วย

กล่องข้าวที่อยู่ในมือ
"คุณเวล์เซนค่ะ" หญิงสาวออกปากเรียกบุรุษที่กำลังเก็บหนังสือพร้อมกับยืนของให้ "ทานข้าวกลางวันก่อนเถอะ"
ชายหนุ่มมองใบหน้าหญิงสาวชั่วครู่จนเธอรู้สึกหน้าร้อนวูบจนต้องรีบก้มหน้าหลบดวงตาน้ำตาลของจอมปราชญ์
"ขอบใจนะ" เวล์เซนยิ้มรับกล่องมาเปิดดูก่อนจะทำตาโต "สุดยอด….น่ากินดี เธอทำเองเหรอ"
เรนพยักหน้าให้
เวล์เซนรีบวางข้าวกล่องก่อนจะตักชิมต่อหน้าต่อตาคนทำ
"เออ…..เป็นไงบ้างค่ะ" เรนถามขึ้นอย่างไม่แน่ใจ นึกขำคนที่ฉายาเป็นถึงจอมปราชญ์ตรงหน้ากำลังชิมนู้นชิมนี่อย่างกระตือรือร้น กินไปตาโตไปจนน่าได้จะไปเปิดรายการชิมไปบ่นไปหรือไม่ก็ทัวชิม
"อร่อยกว่าในวังอีก" เวล์เซนกล่าวออกมา
"วัง?" เรนทวนคำ
"เออ…คือพ่อฉันเป็นตระกูลข้าราชบริพารเข้าวังบ่อยๆฉันก็เลยเคยเข้า ก็เท่านั้นเอง" พูดเสร็จก็ยิ้มให้ตามมารยาท
"จริงเหรอ" เรนเผลอยิ้มกว้างออกมาก่อนจะรู้ตัวพยักหน้าเข้าใจก่อนจะหันหลังไปช่วยเพื่อนสาวทำงานเก็บจานต่อ

เวล์เซนมองตามหลังหญิงสาวไปพร้อมกับถอนหายใจเรือนผมเงินยาวสยายไหวไปตามแรง เรนเป็นผู้หญิงซื่อบริสุทธิ์ น่ารักใครพูดอะไรก็คงเชื่ออย่างไม่ต้องสงสัยและไม่ใช่ว่าเขาอยากจะโกหกเธอแต่เขายังไม่อยากให้เธอรู้ว่าความจริงเขาเป็นใครมากกว่า เพราะไม่อยากให้ดวงตาฟ้าใสราวกับท่องฟ้าไร้เมฆหมอกนั้นมองเขาแบบ…

"นายจะปกปิดไปอีกนานไหม องค์รัชทายาท เวล์เซน อินเทอรัส แห่ง เซนเทอรัส"
เสียงกระซิบดังขึ้นจากด้านหลังจนเจ้าชายหันมามองอีกเพื่อนคนพูดน้อย
"นายเองก็เหมือนกันไม่ใช่เหรอไง คารอส"
"ไหนว่าเรนแอบชอบคารอสไงวะ"

กัสกัดฟันพูดอย่างมีน้ำโหใส่เพื่อนตัวกวนที่ให้ข่าวมั่วนิ่มหลังจากแอบซุ่มดูเหตุการณ์อยู่นานใต้โต๊ะอ่านหนังสือของใครบางคนที่กำลังกล่าวพาดถึงเริ่มรำคาญ

ไอ้พวกสอดแนมข้างใต้จนชักอยากเตะโด่งออกไปจวนจะแก่
"แล้วใครบอกว่าเป็นคารอสล่ะ ฉันเปล่าพูดนะเฟ้ย"
"อ้าว" สองเสียงโห่พร้อมกัน
"เบาๆ เดี๋ยวเค้าก็รู้หรอก" ดอฟรีบต่อว่าเพื่อนก่อนจะแอบโผล่หัวออกไปดูลาดเลา "แถมเรายังรู้อีกว่า เวล์เซนเป็นองค์ชายรัชทายาทแห่งเซนเทอรัสอีกนะเฟ้ย คราวนี้เราก็สบายแล้ว"
"สบายเรื่องไร"

"ก็องค์รัชทายาทนั้นอีกสักวันก็ต้องเป็นกษัตริย์ใช่ไหม เราก็ประจบซะหน่อยคราวนี้เดือดร้อนอะไรก็ไปพึ่งพาแถมยังได้เส้นใหญ่ๆมาใช้อีก หวานหมูแหละงานนี้" ตัวกวนที่ยังไงก็ยังเป็นรุ่นลูกศิษย์ยิ้มแสยะอย่างเจ้าเล่ห์โดยไม่ได้ดูเลยว่ากำลังคุยกันอยู่ใต้โต๊ะใคร เคยได้ยินไหม

เลือกโต๊ะผิดคิดจนตัวตาย
อาจารย์เครอน ทันเรอเรน คงยังไม่ได้พูดไว้
"ออกๆกันได้แล้ว อึดอัด" โจนัทบ่น
ทั้งสามสหายมุดหัวออกจากใต้โต๊ะที่ทั้งแคบทั้งเล็กเบียดยัดคนไปแอบฟังตั้งสามคนออกมาพร้อมๆกันพร้อมๆกับตระหนัดอย่างใหญ่หลวงที่สุด

ในชีวิตว่าอย่าใช้คติ เรื่องชาวบ้านคืองานของเรา
ทางสว่าง
สิ่งแรกที่เห็นคือแสงสว่างสะอาดตาของรองบาทาสองคู่ที่ยืนรออยู่ในระดับสายตาพอดิบพอดี สองเทพบุตรที่มาตอนรับไอเย็นบวกลมหมุนที่เริ่มก่อตัวบอกได้คำเดียวว่ารู้ซึ้งถึงความตายอยู่ใกล้เคยเอื้อมมือ ทำให้คิดอยากจะวิ่งกลับไปกระโดดกอดคออาจารย์ตัวแสบพร้อมกับกราบงามๆขอแค่อาจารย์ยอมมาเป็นไม้กันหมาให้

ดวงตาน้ำตาลดูจะลุกเป็นไฟอย่างที่ไม่เคยมีใครเห็นมาก่อนแต่ไอลมเย็นที่พัดมายิ่งทำเอาสันหลังวาบไปอย่างพร้อมเพียงตามด้วยรอยยิ้มแสยะที่ชวนเอาข่นลู่

ู่ชันบนใบหน้างามๆ

หากมีใครเดินผ่านกระโจมของปีหนึ่งคงเป็นอันต้องกระโจนหนีเพราะภายในมีการสำเร็จโทษสามนักโทษในโทษฐานที่ยุ่งไม่เข้าเรื่องและคงต้องไปสั่ง

สอนอาจารย

์ตัวแสบอีกนานให้รู้จักดูลูกศิษย์

"เล่นกับใครไม่เล่นเอง ช่วยไม่ได้" เสียงพึมพำเบาๆจากใครบางคนที่เดินผ่านกระโจมอย่างไม่คิดจะเข้าไปช่วย
"คารอส ช่วยด้วย!!!!!!!!!!!!!"

ดวงตาเย็นเมินผ่านไปอย่างบอกว่าช่วยไม่ได้ก่อนจะเดินไปนั่งอ่านหนังสือต่อที่มุมอื่นพอดีกับที่เจมส์เดินเข้ามาเพราะเสียงเอะอะโว้ยวายดังลั่นลานเมื่อ

สามหัวเห็ด

พร้อมใจกันแหกปากสนั่นเมื่อโดนจัดการจากใครบางคนของขึ้น

"คุณเรน คุณเอนนาเรีย ไปห้ามเวล์เซนหน่อยเถอะครับ" เจมส์รีบหันไปสองสาวที่ยืนไม่กล้าเข้าไป
"พวกฉันไม่ไหวหรอกค่ะ ถ้าเป็นคุณเครอนอาจจะไหว"
"คุณเครอนก็ไม่อยู่ด้วย" เจมส์มองไปรอบๆกระโจมแล้วส่ายหัวอย่างจนปัญญา "งั้นช่างเถอะครับ"
"ไอ้เจมส์ ช่วยก่อน!!!!!!!!!!!!!!!!!!!"

สรุปผลการพักกลางวันมีคนป่วยเข้ากระโจมพยาบาลเพิ่มสามคน อาการอยู่ในระดับน่าเป็นห่วงเพราะทั้งปากแตก ตาม่วงแถมเนื้อตัวยังมีแต่รอยจ้ำรูปบาทาเต็มตัวซึ่งไม่อาจจะทราบว่าเป็นแฟชั่นใหม่ของเดือนนี้หรืออย่างไรแต่การวิเคราะห์ได้ความว่าน่าจะเกิดจากการถูกรุก

ยำฝ่าพระบาทขององค์รัชทายาทบางพระองค์ที่ฟิวส์ขาด

นอกจากนั้นแล้วการกินข้าวก็ถือว่าผ่านไปด้วยดี
การแข่งขันครึ่งหลังกำลังจะมาเยือน

ครึ่งหลังการประลองทดสอบฝีมือที่ต้องใช้ความสามารถล้วนๆทั้งฝีมือและสมอง แต่จะได้รับชัยหรือไม่นั้นก็ต้องอาศัยความสามัคคีของทีมด้วย คนเราไม่สามารถอยู่ได้คนเดียวแต่อยู่เป็นกลุ่มนอกจากจะต้องปรับตัวเข้าหากันแล้วยังต้องเข้าใจถึงจุดประสงค์และพยายามร่วมกันไป ดั่งเรือลำน้อยไม่อาจผ่านคลื่นลมมรสุมที่โหมใส่หากแต่เรือลำใหญ่เองก็ไม่อาจผ่านพ้นถ้าไร้ความปรองดอง

ทาร์เร่นไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อการดวลฝีมือการต่อสู้ แต่ยังสอนให้รู้จักเรียนรู้และปรับตัวเข้าหากันนั้นคือจุดประสงค์ที่แท้จริง แต่มีนักเรียนซักกี่คนที่จะเข้าใจในความหมายนั้นเพราะสักวันที่พวกเขาจะต้องโตและเรียนรู้โลกกว้างด้วยตัวเอง

"นักเรียนมารวมกันที่นี่"
เสียงคำสั่งจากอาจารย์ที่มารอตอนรับคณะตัวแทนหลังจากผ่านการตรวจเรียบร้อย ห้องกว้างห้องเดิมกับที่พวกเขาเข้ามาฟังชี้แจงเมื่อเช้านี้ถูกเปลี่ยนเป็นห้องเปล่ากว้างขวางแทนที่จะเป็นเก้าอี้นั่งเหมือนคราวก่อน จุดที่อาจารย์ยืนอยู่กลางห้องมีกระดานเกมส์บางอย่างวางอยู่คล้ายๆกับเกมส์บันไดงูเพียงแต่ตัวเดินนั้นมีอยู่5ตัวสีต่างๆกันไปและช่องเดินคดเคียวยาวที่มีกับ

ดักมากมายรออยู่

"กระดานนี่คือตัวพวกเธอ ฉันได้ใช้เวทมนตร์ที่เชื่อมโยงเธอมาอยู่ในหมากแต่ละตัว มันจะเสดงที่อยู่และเหตุการณ์ที่พวกเธอกำลังเจออยู่หรือกำลังจะเจอข้างหน้า" อาจารย์อธิบายก่อนจะหันมาชี้แจง "ในกรณีที่สองทีมมาเจอกันในการชิงของวิเศษชิ้นเดียวกันคงจะหลีกเลี่ยงการปะทะกันไม่ได้ครูก็คงไม่ห้าม แต่ขอเตืองว่าการแข่งจะไม่มีการออมมือเด็ดขาดเพราะการออมมือถือเป็นการไม่ให้เกียติใครไม่ไหวก็อย่างฝืนเล่นต่อ"

แววตาข่มขู่ประมาณว่าลองไม่เชื่อดูสิรอดผ่านกรอบแว่นสีทองออกมาทำเอานักเรียนสังหลังวาบๆเล่นก่อนที่จะก้มลงหยิบกระดาษข้างๆกระดานเกมส์ออกมา

"รายชื่อทีมที่จะเข้าไปแข่งก่อนทางอาจารย์ได้คัดเลือกไว้เรียบร้อยแล้ว เริ่มจาก…"

ทีมของปีสองคือทีมแรกที่ได้แข่งโดยการเดินผ่านเข้าประตูใหญ่ด้านข้างหายลับเข้าไปในนั้นอีประมาณห้านาทีต่อมาทีมปีสามก็ตามเข้าไป ปีสี่ตามลำดับ จนในที่สุดชื่อของทีมปีหนึ่งก็ถูกประกาศ

คารอสและครอสล์สองคนเดินนำมาถึงประตูก่อนจะกระชากบานให้เปิดออก หมอกหนาทึบแปลกๆลอยบดบังทุกอย่างเบื้องหน้าอยู่ แต่แล้วเท้าของทั้งสองก็หายไปในสายหมอกจัดประหลาดนั้นตามด้วยคนอื่นๆที่มีสีหน้าลังเลนิดๆก่อนจะเดินตามกันไป

ภาพที่ปรากฏให้เห็นหลังจากผ่านม่านหมอกออกมาได้คือ กำแพงวงกตสู่ลิ่วเหนือหัวไปหลายเมตรดูเก่าราวกับเป็นโบราณสถานที่ลึกลับ บรรยากาศเงียบวังเวงมีเพียงเสียงนกร้องแผ่วๆมากับสายลมเย็นยะเยือก ในเวลาหมอกลงบางๆแม้จะพอมองเห็นทางจากแสงจันทร์ที่ส่องลงมา ประตูที่พวกเขาเข้ามาหายไปแล้ว เหลือเพียงกำแพงว่างเปล่าเช่นเดียวกับกำแพงที่รายล้อมอยู่

"นี่มันอะไร" ฟรานกล่าวด้วยน้ำเสียงตะลึงอย่างปิดไม่มิด
"วงกตเวทมนตร์" เสียงตอบจากเวล์เซนที่กำลังสัมผัสพื้นผิวหินหยาบๆของกำแพงเก่า "ใช้แบบเดียวกันที่พวกเราเจอวันสอบเข้าเรียนนั้นแหละเพียงแต่แกร่งกล้ากว่ามาก คงทำลายอาคมไม่ได้แน่"
"ไม่เห็นยาก" ครอสล์ว่าพร้อมกับยิ้ม "เค้าอยากให้เราเล่นเราก็เล่นสิ"
ฝีเท้าเดินนำเพื่อนทั้งทีมออกไปจากจุดเริ่มต้นเรื่อยๆ หนทางเริ่มคดเคียวไปมาจนน่าเวียนหัวแต่ก็ยังไม่พบกับดักอะไรตามที่อาจารย์ว่าไว้นอกจากฝูงค้างคาวที่บนโฉบผ่านมา การเดินทางอย่างไร้จุดหมายจนคนพูดน้อยที่สุดชักเบื่อ
"หยุดก่อน"

"อะไรหรือ คารอส" ครอสล์หันมาเลิกคิ้วถามด้วยน้ำเสียงสงสัยปนไม่พอใจ
"ถ้าเป็นในบรรดาสายทั้งหมดสายนักบวชจะมีประสาทสัมผัสเวทมนตร์ที่เร็วกว่า ของวิเศษที่อาจารย์ให้หานั้นก็ให้สายนักบวชหาดูจะเจอเร็วกว่าพวกเราเดินหาเอง"
เพื่อนทั้งทีมจึงร่วมด้วยช่วยกันงง เครื่องหมายคำถามผุดขึ้นเต็มหัวจนคนผู้ง่ายกว่าต้องเข้ามาอธิบายต่อแทน
"มันเป็นหลักการของประสาทสัมผัส พูดง่ายๆคือให้สายนักบวชใช้ประสาทสัมผัสหาของจะเจอง่ายกว่าเท่านั้นเอง" เวล์เซนกล่าวพร้อมกับหันไปถามฮิวเกอรี่ที่ยืนอยู่ไม่ไกล "ฮิวเกอรี่รู้สึกถึงไอเวทย์อะไรบ้างไหม"
"เดี๋ยวผมหาให้ครับ ช่วยรบกวนเงียบเสียงสักครู่"
บรรยากาศโดยรอบเงียบลงไปถนัดมีเพียงเสียงลมและใบไม้เท่านั้นที่ยังคงดังแว่วมา นักบวชหนุ่มหลับตาลงใช้สมาธิเปิดประสาทรับรู้สิ่งรอบตัวอันเป็นหนึ่งในความสามารถของสายนักบวช ไอเวทย์จางๆที่ลอยมาทำให้เขารู้สึกก่อนจะค่อยๆจับทิศของจุดกำเนิดเวทย์นั้น
"ทางนั้นครับ" นักบวชชี้ไปยังทิศทางที่ทางเดินมุ่งตรงไปทางขวามือ
ทั้งกลุ่มวิ่งไปยังทางที่บอกมาสักพักก็ต้องหยุดชะงักเมื่อทางสิ้นสุดลง กำแพงสูงบังทุกอย่างจนมิบ่งบอกไว้อย่างเดียวว่าทางนั้นไม่มีทางไปต่อได้ ใบหน้าของประธานสายดาบดูจะไม่ค่อยสบอารมณ์หันมายิ้มแสยะ
"ทางตัน" ครอสล์ว่าอย่างข่มอารมณ์ "ไหนล่ะ ของวิเศษที่ว่า"
"ภาพลวงตา" เวล์เซนสวนก่อนจะพยักหน้าให้คารอส

เวทย์มนเริ่มทำงานโดยที่เจ้าของยังไม่ต้องท่องบทแม้แต่น้อย เครดิตเป็นถึงหนึ่งในสามจอมเวทย์ที่เก่งที่สุดแห่งโครนอสกำลังแสดงฝีมือแม้จะไม่ต้องพึ่งคทา เมฆหมองราตรีเริ่มปันป่วนกำลังกำลังเวทย์จะพุ่งเข้าทำลายภาพลวงตาชั้นสูงที่คณาจารย์เป็นผู้สร้างแตกยับไม่เหลือซาก กำแพงสูงเบื้องหน้าหายวับกลายเป็นธุรีไปเผยให้เห็นลานกว้างรูปวงกลมเบื้องหน้าที่แม้กำแพงที่ล้อมจะยังคงเก่าเหมือนเดิม

ของวิเศษชิ้นแรกที่เป็นแก้วน้ำทองคำศักดิ์สิทธิ์ลอยเด่นอยู่กลางบ่อน้ำกว้าง น้ำทิพย์ที่ไหลรินออกจากแก้วไม่ขาดสายราวกับไม่มีวันหมดต้องประกายกับแสงจันทร์ส่องประกายระยิบระยับราวกับเกล็ดแก้วสวรรค์ทำเอาคนที่พบ

เห็นตะลึงต้องมนต์สะกด

"ดีล่ะ ชิ้นแรก" อูรานรีบวิ่งโล่เข้าไปทันที ทำท่าจะโดดลงไปลุยน้ำเบื้อล่าง
"เดี๋ยวก่อน" โซรามอสเตือน "ฉันว่ามันง่ายไปหรือเปล่า"
"คนขี้ขลาด ขี้ระแวงไม่ใช่วิสัยของอัศวิน" อูรานว่าพร้อมกับจุ่มเท้าลงในน้ำ
ทันทีที่เท้าสัมผัสกับพื้นน้ำเรียบใส ไอดำก็พุ่งเข้ามาจากพื้นใต้น้ำเปลี่ยนให้กลายเป็นน้ำวนมรณะในพริบตา พริบตาเดียวที่ฟรานมีโอกาสช่วยขว้ามือเพื่อนผู้ชอบลองดีไว้ได้ทันก่อนจะถูกดูกลืนไป เมฆเคลื่อตัวเข้าบดบังพระจันทร์ทำให้ความมืดยิ่งทวีมากขึ้นจนแทบมองอะไรไม่เห็น

เอนทารีดัสรีบวิ่งเข้ามาดึงมือเพื่อนดึงมาจากกระแสน้ำอย่างยากลำบากขณะที่น้ำดูถ้าว่าจะไม่ยอมหยุด
"เวล์เซน นายต้านพลังลม" เสียงของคารอสว่าขึ้นจอมปราชญ์ทำตาม

แม้ฝีมือการจุดเทียนไขจะไปไม่รอดแต่ไอ้การใช้ลมสำหรับนักเวทย์ที่มีธาตุลมอยู่แล้วนั้นไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ พลังเวทย์ที่ปลดปล่อยออกมาเพื่อต้านทานพลังลมเวทย์ส่งผลชะงักเมื่อน้ำวนเริ่มหมุนอ่อนลง สองนักเรียนดาบจึงรีบคว้าโอกาสดึงร่างของเพื่อนที่กำลังจะจมน้ำตายขึ้นมาทันเวลาพอดีกับที่เวล์เซนต้านเวทย์ไม่ไหว

กระแสน้ำหมุนเร็วชั่วครู่ก่อนจะหายไปกลับมาเป็นบ่อน้ำสงบตามเคย

"จบแล้วเหรอ" น้ำเสียงของใครบางคนถามอย่างไม่แน่ใจ
มันง่ายเกินไป

ทุกคนคงต้องจำคำนี้ไปจนวันตายเมื่อน้ำที่นิ่งไปแล้วเริ่มสะไหวอีกครั้งก่อนที่อสูรกายตัวมหึมาจะโผล่ขึ้นมาจากน้ำนั้น แม้ร่างจะคลายมนุษย์แต่มือเป็นพังฝืดใบหน้ามีข่นยาวเป็นแผงคอและลิ้นยาวแลบออกมาเหมือนงูเป็นน้ำล้วนๆสูงหลายสิบเมตรมองตรงมายังศัตรูร่างเล็กด้วย

แววตาว่างเปล่าน่าขนลุก แต่ที่น่ากลัวกว่านั้นคือเขี้ยวในปากที่ทั้งยาวและมีแยอะจนล้นปากออกมา
"ปีศาจน้ำจากอ่าวมรณะ" เวล์เซนว่าด้วยความไม่อยากเชื่อ
ว่าแล้วด้วยความเร็วเกินตัวของปีศาจพุ่งเข้าโจมตีจุดอ่อนที่สุดของทีมเป็นรายแรก มือที่คว้าแอนนาที่เป็นหญิงเพียงคนเดียวน้ำทีมขึ้นมาพร้อมด้วยเสียงกรีดร้องสนั่นจากหญิงสาวผู้เป็นเหยื่อ

"สายดาบขอจัดการ" ครอสล์เป็นคนว่าขึ้นคนแรกพร้อมกับเรียกดาบใหญ่ขึ้นมา

เขี้ยวยาวคมกริบจนล้นปากของปีศาจน้ำแยกออกพร้อมด้วยร่างของสาวที่กำลังจะถูกกิน พลันเสียงวีดร้องแหลมลั่นก็ดังก้องจะต้องปิดหูเมื่อแขนข้างที่ไม่ได้ระวังตัวถูกดาบพิฆาตโลกันต์ตวัดหลุดออกจากตัว ร่างใหญ่เสียศูนย์ล้มลงกับพื้นแม้มือยังคงไม่ปล่อยตัวประกัน ความหิวกระหายยังคงส่งผลให้ปีศาจอ้างปากกว้างเป็นครั้งที่สอง คราวนี้ลูกไปโลกันต์ลูกใหญ่ซัดเข้าใส่แทนซึ่งถือว่าเป็นการกระทำที่เจ้าตัวทำไปโดยที่ไม่รู้ตัว

โซรามอสที่ยังงงตัวเองอยู่กลายเป็นเหยื่อไปอีกรายทันทีที่มันโกรธแขนที่งอกออกมาใหม่ก็เข้าไปขว้าหวังจะกินเหยื่อเพิ่ทมอีกรายแต่ไม่เป็นผลเมื่ออัศวิน

จากสายเวทย์ใช้ดาบคู่ใจต้านไว้ แต่แล้วแรงคนก็ไม่อาจสู้แรงปีศาจดาบ แต่แล้วดาบธรรมดาก็เกิดแปลเปลี่ยนกลายเป็นเปลิงเพลิงจนทำเอามันร้องลั่นรีบกระชากมือออกมา

"มันแพ้ไฟ" เสียงตะโกนบอกจากปากของเจมส์ที่บอกจุดอ่อนของเจ้าปีศาจ โซรามอสจึงเข้าโรมรันปะทะปีศาจด้วยดาบไฟที่เจ้าตัวพึ่งทำได้พร้อมๆกับนักเรียนสายดาบคนอื่นๆ

เมื่อเป็นฝ่ายเสียเปรียบเจ้าปีศาจน้ำก็รีบถอนกำลัง โดยทิ้งเหยื่อออกไปแล้วทำท่าจะกลับลงน้ำ ร่างเล็กๆของแอนนาที่ถูกโยนตกลงสู้พื้นโดยที่ฟรานช่วยรับไว้ได้ทันเวลานั้น

วาตะโลกันต์ที่เคยประจักษ์ฝีมือมาแล้วในการประลองเวทมนตร์รอบชิงปรากฏขึ้นด้วยความแรงและเร็วยิ่งกว่าเก่าเพราะครั้งนี้จอมเวทย์ที่ทรงฤทธิ์สร้างให

้ใหญ่กว่าคราวก่อนถึงสามเท่าตัว ร่างของปีศาจน้ำที่แพ้ไฟเมื่อสัมผัสกับเปลวเพลิงมหึมาของพายุโลกันตร์ก็กรีดร้องลั่นก่อนที่ร่างจะกลายเป้นควันสลายหายไปในสายลม

ดวงจันทร์กลับคืนมาอีกครั้งพร้อมๆกับความเงียบสงบดังเดิม เพียงแต่ที่ลานกว้างไม่มีร่องรอยของบ่อน้ำเหลืออยู่อีกเลยยกเว้นแก้วของวิเศษที่ดูเหมือนหล่นอยู่ตรงกลางลานเท่านั้น เอ็นทรี่นักเรียนจากสายพ่อค้าหยิบของขึ้นอย่างระมัดระวังก่อนจะเก็บใส่ถุงที่เตรียมมาโดยทิ้งให้คนอื่นๆยืนอึ้งอยู่กับฝีมือเวทย์ที่น่ากลัวของใครบางคน

"ฉันบอกนายแล้วไงว่าให้สายดาบจัดการ" ครอสล์กัดฟันต่อว่าทันทีเมื่อนึกขึ้นได้

คารอสไม่ได้พูดอะไรเพียงแต่เดินหันหลังไปทางเพื่อนจอมปราชญ์อย่างเฉยชาตามนิสัย และต้องใช้เวลาสักพักกว่าทั้งกลุ่มจะเรียขวัญของแอนนาคืนมาก่อนจะเดินทางต่อด้วยคำพูดของสิงห์หนุ่มอัศวินแห่งสายเวทย์ที่บอกว่า

"คราวหลังมีอะไรก็หลบอยู่หลังฉันเป็นพอ"

หลังจากนั้นการเดินทางออกล่าของวิเศษภายในเขาวงกตก็เริ่มขึ้นแต่บางสิ่งที่น่ากลัวกว่าการปะทะกับปีศาจหรือสู้อยู่ในภาพลวงตาเวทย์นั้นคือการ

ปะทะกันเอง ไม่มีใครรู้ว่าวงกตแห่งนี้กว้างหรือลึกมากแค่ไหนแต่การหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากันรุ่นพี่นั้นจำเป็นที่สุด

"โอเค สัมผัสไอเวทย์อะไรได้อีกบ้าง" ครอสล์ถามขึ้นหลังจากสองนักบวชช่วยกันหา
"ผมจับได้ทางทิศเหนือ" ฮิวเกอรี่รายงาน
"ขอฉันได้ทางทิศเหนือเหมือนกัน ไอเวทย์รุนแรงกว่าครั้งแรกด้วย" โจนาทาให้ข้อมูลต่อ
ตอนนี้สมบัติในถุงมีอยู่แล้วสองชิ้น ชิ้นที่สองนี้ได้จากการประลองดาบกับกองทัพอัศวินดำที่เป็นภาพลวงตาขนิดเหมือนจริงซึ่งสายดาบกู้หน้าคืนจากครั้งก่อนไปเรียบร้อยด้วยฝีมือของนักฆ่าแห่ง

คิลเลียสไปกว่าครึ่งกองทัพจนได้ตราทัพวิเศษมาจนได้

หนทางขึ้นเหนือตามที่สองนักบวชบอกมาเริ่มยากกว่าที่คิดเมื่อจากพื้นราบธรรมดาก็กลายเป็นขั้นบันไดลาดชันทอดยาวขึ้นไปเรื่อยๆราวกับไม่มีที่สิ้นสุด ทลามกลางแสงจันทร์มีเพียงเสียงก้าวเดินเท่านั้นที่ดังก้องกบกำแพงสม่ำเสมอพร้อมๆกับเสียงหอบหายใจหนักๆด้วยความเหน็ดเหนื่อย
แอนนายังคงรักษาระยะอันตรายของตัวเองไว้โดยเดินตามหลังโซรามอส แม้จะเหนื่อยแต่ก็ทำใจแข็งเดินต่อไปอย่างไม่คิดที่จะปริปากบ่นออกมาซักคำแต่อัศวินหนุ่มด้านหน้าจับได้ถึงกระแสความเหนื่อยล้าของคนด้านหลังได้
ทางเดินกำลังจะสิ้นสุดแล้ว
นักเรียนทั้งสิบสองพยายามฝืนยกเท้าที่แสนจะหนักให้เดินไปจนสุดทาง เวลาไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่แล้วแต่ทุกๆนาทีนั้นยาวนานราวกับเป็นชั่วโมง
สุดทาง การปะทะกันของปีสองและปีสามคือภาพเบื้องหน้าภาพแรกที่ทั้งกลุ่มเห็นโดยมีจุดประสงค์เดียวกันที่กระจกวิเศษด้านหลังลอยล่อใจอยู่ ไอเวทย์ที่รุนแรงนั้นมีส่วนสำคัญในการล่อให้ทีมมากเจอกัน เป็นกับดักที่ทางโรงเรียนวางไว้
"จะเอาไงดี" เสียงถามดังขึ้นจากฟรานที่ดูการต่อสู้เบื้องหน้าอย่างเป็นกังวล
"ปล่อยไว้"
คำพูดที่ไม่น่าเชื่อว่าออกจากปากคนชอบมือเรื่องที่สุดในทีม ครอสล์ แกรนต์คิล เรียนรู้จักหลักการของน้องชายตัวแสบมาใช้ประโยชน์เต็มกำลัง
"ปล่อยจัดการกันเองแล้วเราค่อยฉวยโอกาส" ครอสล์อธิบายก่อนจะหัวเราะ "เป็นไง เคล็ดลับความแอบชั่วโดยอาจารย์ ครอสล์ แกรนต์คิล ลาเรนเซอร์ ฮะๆๆๆๆๆ"
มันติดเชื้อไอ้เครอนมาหรือวะเนี่ย น้องยังไงพี่ยังนั้น
ทั้งกลุ่มจำต้องส่ายหน้าเอื้อมระอากับไอ้นิสัยบ้าบอคอแตกของสองพี่น้องมามากพอดู พี่จอมหมกงานกับน้องชายตัวแสบ โชคดีที่ฮิวเกอรี่มันภูมิคุ้มกันดีไม่งั้นก็ไม่อยากจะคิด
ฉากการต่อสู้เบื้องหน้า การปะทะของกลุ่มผู้ใช้เวทย์และใช้ดาบจับคู่โรมรันกันอย่างบ้าคลั่งโดยไม่รู้สึกถึงผู้มาเยือนใหม่เลยสักนิด แต่ฝีมือและประสบการณ์ที่ถึงจะห่างกันแค่ชั้นปีเดียวก็เป็นจุดสำคัญของการต่อสู้ รุ่นพี่ปีสามดูจะได้เปรียบเหนือกว่าปีสองอยู่มากเมื่อทีมของปีสองเริ่มถูกตอนจนมุม
ลูกไฟถูกขว้างเข้าปะทะใส่ราวกับเม็ดฝนส่วนปีสองคงทำได้แค่กันตัวเองปล่อยให้พวกไร้พลังเวทย์ต้องหาที่กำบังเอง บางคนโดนลูกไฟปะทะเข้าก็เกิดบาดเจ็บเป็นแผลพุพองลงกันไปทีละคน
นั้นที่สุดสถานการณ์ก็ถึงขีดสุดเมื่อนักเรียนที่ยังพอมีแรงร่างเวทย์เหลือเสกลูกไฟขึ้นฟ้าไปเป็นสัญญาณขอความช่วยเหลือทันที แล้วร่างของทุกคนในทีมก็หายไปต่อหน้าต่อตา เหลือเพียงความว่างเปล่า

รุ่นพี่ปีสามคนหนึ่งที่ดูจะเป็นหัวหน้าทีมเดินตรงไปที่ของวิเศษอย่างมีชัยพร้อมมือที่เอื้อมออกไปจับต้อง พลันเกิดแสงสีแดงวาบเข้ามีผลักร่างของชายผู้นั้นกระเด็นออกมาก่อนที่เงาทมิฬจะก้าวเข้ามาเหยียบย่างบนพื้นหินพร้อมด้วยเงาอื่นๆพุ่งเข้าต่อสู้กับกลุ่มปีสาม
แม้ฝีมือจะพอสู้ด้วยไหวก็ตามแต่ด้วยความอ่อนแออ่อนล้าย่อมพลาดได้ มนุษย์ก็ยังต้องล้มเป็น
ตอนนี้แม้ดาบหรือเวทย์ที่ปะทะเข้าใส่ร่างเงาก็ไม่อาจทำอะไรได้เพราะมันเพียงสลายไปชั่วครู่ก่อนจะก่อตัวขึ้นมาใหม่อีกครั้งเหมือนไม่มีวันตายแต่ร่าง

ของพวกรุ่นพี่นั้นได้รับบาดเจ็บกันอย่างมากจนสุดจะต้าน
ลูกไฟดวงที่สองถูกยิงขึ้น ทีมทั้งทีมหายไปพร้อมๆกับเงาปริศนานั้นเหลือไว้แต่รอยเลือดสดๆเป็นสิ่งเดียวในความเงียบนั้น
"โชคดีที่เราคอยดู" เวล์เซนเป็นคนแรกที่พูดขึ้น "เวทมนตร์ที่คุ้มครองกระจกอยู่เป็นเวทย์สะท้อน จะเข้าใกล้ไม่ได้"
"อย่างที่บอกรู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง" โซรามอสว่า
"แล้วจะเอาไง กระจกนั้นไม่ธรรมดาเราจะเอามาได้ยังไง"
"เดี๋ยว มาดูนี่ก่อน" เสียงเรียกจากเอ็นทรี่ที่หยิบของบางอย่างออกมาให้ดู
ตรงจุดที่ทั้งทีมรุ่นพี่หายไปมีของวิเศษตกอยู่ อันหนึ่งจากจุดที่ปีสองหายไปเป็นเข็มกลัดเพรชที่ส่องแสงแวววับจับตาส่วนอีกชิ้นคือดาบเหล็กชั้นดีที่คมกริบ
"ลาบปากซะแล้ว" ครอสล์หัวเราะในลำคอพร้อมกับพยักหน้าให้เอ็นทรี่เก็บของ
"เพิ่มเป็นสี่" อูรานกล่าวก่อนจะยักไหล่ "ก็ไม่เลว"
"กระจกนั้นเอาไงดี" โซรามอสหันกลับมาถามเพื่อนทั้งสอง
เวล์เซนกำลังครุ่นคิดส่วนคารอสก็นิ่งเฉยตามเคย แต่บางสิ่งของให้เขารู้ว่าจอมเวทย์ผู้นี่รู้หลายเรื่องเพียงแต่ไม่ค่อยยอมบอกก็เท่านั้น ต้องคอยกระตุ้นมันเหมือนไอ้เครอนหน่อย
"คารอส นายคิดว่าไง"
"เป็นเวทมนตร์ดำ ฉันรับรู้จากเงานั้น ถ้าใช้ศัพท์ของจอมเวทย์เราเรียกว่า เวทย์ต่อต้าน" จอมเวทย์พูดเรียบๆแม้ตายังคงมองกระจกถือบานนั้น "เวทย์มีพลังสะท้อนกลับพร้อมๆกับจัดการสร้างเงามาต่อต้านและจะไม่มีวันหมดจนกว่าคนผู้นั้นจะตาย ถ้าจะสะกดต้องใช้คนมีมนต์ดำเท่านั้น"
"แต่เราไม่มีใครมีมนต์ดำเลยนะ"
"ผมมีครับ" ในที่สุดเสียงตอบจากคนที่ยืนฟังเงียบๆด้านหลัง

เจมส์ตกเป็นเป้าสายตาทันทีที่พูดจบ คนเรียบร้อยจะมีพลังเวทย์แห่งความมืดได้อย่างไรกันเล่าและอีกอย่างยังไม่เคยบอกเล่าให้ใครฟังมาก่อนอีกด้วย มันน่าแปลก

"คือ…ปู่ของผมเป็นชาวไอซอริสครับ ผมเลยเคยลองฝึกใช้เวทย์ความมืดพอได้"
ทุกสายตาหันมามองที่สองคนผู้มีสิทธิตัดสินใจด้วยความอยากรู้ในคำตอบ
"ไม่ลองก็ไม่รู้" ครอสล์ตอบปัดๆ ส่วนคารอสก็ไม่พูดอะไรอีกตามระเบียบซึ่งถือว่ามันบอกยังไงก็ได้

เจมส์เดินเข้าไปใกล้กระจกช้าๆ ไอความมืดแผ่ออกมาจากบานกระจกแต่ก็ไม่ได้ทำอะไรเจมส์เหมือนทำกับรุนพี่ปีสาม แต่แล้วไอความมืดจากกระจกก็เป็นอันต้องสลายไปเมื่อถูกทำลายโดยไอความตายที่รุนแรงกว่ามาก
เจมส์ตอนนี้กลายเป็นปีศาจไปแล้ว ดวงตาเปลี่ยนแปลงกลายเป็นสีเลือดใบหน้าไร้ซึ่งความรู้สึกเต็มไปด้วยไอแห่งความเย็นชาและความตายทำเอาบรรยากาศโดยรอบหดหู่ไปถนัด ราวกับโลกนี้ไร้ซึ่งความสุขอีกต่อไป
วงกตแห่งความมืดที่วิ่งเท่าไหร่ก็ไม่มีวันจะพบทางออก

กระจกเริ่มสั่นไหวรุงแรงขึ้นจนน่าตกใจก่อนที่ไอความมืดจากตัวมันเริ่มถูกทำลายน้อยลงทุกขณะ ของวิเศษที่ทรงอำนาจในทางด้านมืดตอนนี้กำลังพ่ายแพ้ต่อความมืดที่น่ากลัวกว่ามากจากพลังบางอย่าง
ทุกสายตาที่จับจ้องได้ยินเสียงสะท้อนกึกก้องราวกับเสียงกรีดร้อนโหยหวยของบานกระจกปีศาจ

เปรี้ยง
เสียงดังบานกระจกที่กำลังแตกร้าวกว้างขึ้นทุกที จากรอยเล็กๆขยายกว้างจนเกือบทั่วทั้งบาน เศษแก้วบางร่วงลงกระทบพื้นแตกกระจายเกลื่อนในความเงียบ
ในที่สุดบานกระจกที่ยืนหยัดลอยตัวอยู่กลางอากาศก็ตกวูบลงสู่พื้นดินพร้อมๆตัวบานกระจกที่หลุดออกแตกกระจายและสลายหายไปเหลือไว้เพียงตัวเรือน

ทองคำ

ที่ยังนอนนิ่งอยู่บนพื้นที่ไม่มีไอเวทย์จะแผลงฤทธิ์ได้อีกต่อไป แต่ทว่าความผิดปกติบางอย่างเริ่มปรากฏขึ้น

ไอเวทย์ดำที่เจ้าของสมควรคลายนั้นกลับทวีมากขึ้นๆจนไอความตายแผ่เข้าบดบังแสงจันทร์จนมืดมิดราวคืนเดือนมืด กำลังเวทย์ที่เจมส์ไม่มีทางมีกำลังทำได้แม้จะมีสายเลือดพวกเดท ความเงียบเข้าคลอบงำทุกพื้นที่ บรรยากาศอึดอัดที่ไม่มีใครกล้าแม้จะขยับตัว
ทำไมมันไม่คลายเวทย์
แผ่นหลังของสุภาพบุรุษแห่งสายเวทย์ค่อยๆเคลื่อนหันกลับมาช้าๆ
ผิวขาวซีดมีรอยช้ำม่วงขึ้นส่งกลิ่นเน่าคลุ้มคลั่ง ดวงตามีตาตาขาว รอยยิ้มแสยะน่าสยดสยอง ภาพตรงหน้าไม่ได้ต่างอะไรไปจากศพถึงแม้จะเป็นศพของเจมส์ก็ตามที
"เลือด..... ข้าหิวเลือด...." เสียงที่แปล่งออกมาเล่นเอาทุกคนหน้าถอดสี
ฝีเท้าของคนกล่าวย่างเข้ามาอย่างรวดเร็วจนดาวกับหายตัวไปปรากฏที่หลังของฟรานพร้อมๆกับมือที่มีกรงเล็บยาวคบกริบแทงทะลุร่างของนักเรียน

เคราะห์ร้าย มันควักหัวใจสดๆของจากร่างฟราน เสียงกรีดร้องดังลั่นพร้อมๆกับเลือดอุ่นๆพุ่งกระจายทั่วลาน

ร่างของนักรบล้มลงตรงหน้าโดยที่ร่างของมันยืนยิ้มกับหัวใจที่ยังคงเต้นตึกตักอยู่ในมือขวาอย่างพอใจ แต่รอยยิ้มก็หายไปเมื่อพลังเวทย์ความสว่างพุ่งเข้าปะทะอย่างจังจนร่างของมันลอยกระเด็นไปกระทบกำแพงเวทมนตร์อีกฟาก
ดวงตาของบางสิ่งที่อยู่ในร่างเจมส์เบิกกว้างเมื่อสังเกตเห็นเจ้าของเวทย์
"มหาเวทย์ โครอส คิลเซเรียส..... แกยังไม่ตาย" ดวงตาขาวหน้าข่นลุกจับจ้องบุรุษใบหน้าเย็นชาที่กำลังเดินเข้าใกล้พร้อมด้วยพลังเวทย์มหาศาล "เป็นไปไม่ได้….."

คำพูดของมันเป็นอันต้องชะงักเมื่อพลังเวทย์กำลังบีดหัวใจราวกับมือที่มองไม่เห็นที่กำลังขย่ำหัวใจในร่างนั้น เสียงร้องแหลมทรมานดังขึ้นพร้อมด้วยเลือดที่ไหลรินออกจากปากคนเป็นรอง เมื่อคารอสคลายเวทย์ออกเจ้านั้นกลับหัวเราะร่าแม้ร่างจะแทบลุกไม่ขึ้น

"แกไม่กล้าฆ่าฉันหรอก...... และแกก็ไม่ใช่โครอสด้วยใช่มั้ย" ร่างนั้นพูดพลางหัวเราะเยือกเย็น "องค์จักรพรรดิ....น่าจะฆ่าแกถอนรากถอนโคนไปตั้นแต่วันนั้นซะก็ดี..... แกมันตัวอันตราย...อยู่ไปก็ยิ่งจะสร้างความรำคาญให้พระองค์"
คารอสไม่ได้พูดอะไรต่อ เวทย์พุ่งเข้าปะทะอีกครั้งด้วยความรุงแรงกว่าเก่า
"เอาสิ.... ฆ่าฉันเลย.....แกไม่กล้าหรอก...เพราะเพื่อนแกที่ฉัน...ยืมร่างอยู่นี่ก็ต้อง....ตาย....ด้วย...."
เอายังไง ถ้าฆ่าเจ้านี่ก็จะได้ตายไปไม่ทำพิษภัยกับใครอีก แต่ถ้าฆ่าไปเจมส์ก็ต้องตายด้วย ฆ่าหรือไม่ฆ่า
ความคิดของจอมเวทย์แห่งโครนอสหยุดชะงักทันทีเมื่อได้ยินเสียงคำรามของสัตว์บางอย่างดังขึ้นพร้อมๆกับร่างสีเงินใหญ่เขี้ยวยาวดังความสนใจของทุกคน

แม้แต่เจ้าตัวที่อยู่ในร่างเจมส์ที่ดูแตกตื้นยิ่งกว่าใครทั้งหมด
หมาป่าเงินตัวที่เคยเจอที่ห้องมืดเมื่อตอนเช้าตอนนี้ก้าวเข้ามีใกล้ร่างของเจมส์มาขึ้น แยกเขี้ยวใหญ่พร้อมพุ่งฉีกกระชากเหยื่อซึ่งไม่แน่ใจว่าเป็นใครระหว่างเจมส์กับคารอส
"องค์ชาย....แห่งเกรย์ดอฟ" เจมส์กล่าว
"องค์ชาย" คารอสทวนคำ "ความมืด"
มันเป็นศัครู

สิ่งแรกที่เขาคิดได้ เวทย์ยุทธสั่งจู่โจมร่างหมาป่าทันทีแต่สมาธิกลับถูกทำลายด้วยความเร็วของการจู่โจมขย้ำคอร่างของเจมส์ทันที
"อ๊าก!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!"

ร่างนั้นวีดเสียงร้องพ้อมด้วยเลือกแดงไหลจากบาดแผลใหญ่ที่เฉียดเป้าหมายที่คอไม่เพียงนิดเดียว ถ้ามันแบนตัวหลบช้ากว่านี้ไปเสี้ยววินาทีคงได้กลายเป็นศพคาปากหมาป่าแห่งเกรย์ดอฟไปแล้ว ร่างเจมส์ยันตัวลุกขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มน่าขนลุกและเสียงสั่งการลั่นออกจากปาก
ร่างของรุ่นพี่ปีสี่เดินออกมาจากเงามืดรอบกายเข้าล้อมกลุ่มของปีหนึ่งไว้ ทุกๆร่างมีสภาพไม่ต่างไปจากเจมส์เลยสักนิด
"นี่มันอะไร" อูรานถามเสียงสั่น
"พวกรุ่นพี่ถูกครอบงำ" เวล์เซนตอบพลางเรียกดาบมาไว้เตรียมพร้อมในมือ
"โดยอะไร" ครอสล์ตะโกนถามมาจากอีกฟาก
"ไม่รู้"
จอมปราชญ์ยังไม่รู้ไอ้เราก็ไม่มีทางจะได้รู้แล้ว
การปะทะกันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วทันทีเมื่อทางฝ่ายเจ้านั้นไม่รอช้า พลังเวทย์ความมืดจำนวนมากยิ่งทวีเข้าบังแสงจันทร์จนบางครั้วก็มืดจนแทบมองอะไรไม่เห็น สายดาบเข้าโรมรันดาบเวทย์ปะทะเวทย์แม้แต่สายนักบวชและพ่อค้ายังต้องร่วมสู้ศึก
ฝ่ายพวกนั้นจะฟาดฟันสักแค่ไหนก็ดูไม่มีท่าทีเจ็บปวดหรือเหนื่อยล้าเลยแม้แต่น้อยตรงข้ามกับพวกเขาที่ทั้งบากเจ็บกับบาดแผลและกังวลว่าจะเผลอฆ่ารุ่นพี่

ไปในเวลาเดียวกัน
"ไม่ไหว" เอนทารีดัสตะโกนบอกโดยมีแผลไฟไหม้พุพองจากการโดยไฟเวทย์ทางไหล่ซ้าย
"เกรงเกินไป เหมือนไม่ใช่คน" โซรามอสพึมพำ
"ก็ไม่ใช่คนอะสิ"

เสียงปริศนาที่ดังขึ้นพร้อมๆกับเสียงระเบิดดังลั่น ร่างของนักเรียนสายดาบ นักบวช และพ่อค้าที่อยู่ใกล้ๆกำแพงถูกแรงระเบิดพัดไปชนกับกำแพงเวทย์อีกฟากสลบไป ผุ่นผงฟุ่งกระจายคลุงคลั่งไปทั่วลานก่อนที่ร่างผู้มาเยือนใหม่จากก้าวออกมา

เวลล์ เวลิเออต์ อาจารย์ประจำสายเวทย์
อาจารย์จอมกวนเลิกคิ้วเมื่อสังเกตเห็นสภาพของเจมส์ที่กำลังโดนหมาป่าขย่ำ
"เล่นแรงไปหรือเปล่าวะ เจอลาวัต"
"รุ่นพี่เจอลาวัต" เสียงจากพวกนักเรียนที่เหลืออยู่อุทาน
นักเรียนสายเวทย์ดีเด่นติดกัน3ปีซ้อนเนี่ยนะ

ร่างหมาป่าเงินค่อยๆเปลี่ยนร่างกลับมาเป็นคนตามเดิม เรือนผมเงินยุ่งเหยิงไม่เป็นทรงกับภาพพจณ์ที่เปลือยท่อนบน ดวงตาที่เปลี่ยนตาสีฟ้าแต่ก่อนมาเป็นสีม่วงเข้มยังคงดูเงียบแฝงใจดีตามเคยเพียงแต่ภาพเมื่อกี้ช่างตรงข้ามกับร่างมนุษย์นี้จริงๆจนรุ่นน้องรู้สึกร้อนๆหนาวๆ

สันหลังชอบกล

ยังโชคดีที่ครั้งนี้ระเบิดเวทย์ของเวลล์จัดการพวกเอนทารีดัส ฮิวเกอรี่ อูราน แอนนา เอ็นทรี่ และโจนาทาไปไม่เช่นนั้นแล้วพวกนั้นคงช็อกตายตั้งแต่รู้แล้ว แต่สำหรับพวกที่ยังเหลืออยู่สงสัยจะชินกับความลับแปลกๆของตัวแสบเครอนจนชินเสียแล้ว ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเป็นความบังเอิญหรือจงใจของอาจารย์เวลล์กันแน่

"เวลล์ นี่นายชอบมาเวลานี้อยู่เรื่อย"
"ทำไม ฉันมันทายาทนักปกครองนะไม่ใช่นักบู๊"

บทสนทนาที่เปิดขึ้นโดยไม่รู้จักดูเวลำเวลาของสองผู้อาวุโสนี่มันน่าปวดหัวนัก ร่างของเจมส์ที่ค่อยๆลุกขึ้นแล้วร่ายเวทย์เข้าโจมตีทันที คราวนี้เป้าหมายอยู่ที่โซรามอสที่ยังไม่ๆได้ทันตัว ระยะอันตรายเมื่อกรงเล็บยาวเตรียมจับฉีกขั้วหัวใจมนุษย์ออกอย่างที่เคยทำกับฟรานมาแล้ว

วินาทีที่ไม่มีใครได้ทันแม้แต่ขยับตัว
....ตูม...
เสียงดังขึ้นอีกครั้งเมื่อร่างของเจมส์โดนมือที่มองไม่เห็นเหวี่ยงออกไปชนกำแพงจนกระอักเลือดสดๆของมา
"เล่นลอบกัด" ใครอีกคนในเงามืดที่ไม่มีใครทันสังเกตกอดอกยืนพูดอยู่ "ไอ้เฮนเทียลส่งใครที่มันดีกว่านี้มาไม่ได้แล้วหรือไง"
เคริเอน่ายืนดูอยู่ด้วยสีหน้าเบื่อปนไม่พอใจ ผมสีน้ำตาลทองสั้นระบ่าเพราะเจ้าตัวตัดทิ้งด้วยเหตุผลว่ารำคาญปลิวไหวไปตามสายลมเย็นๆ ดวงตาของเจมส์และพวดรุ่นพี่ที่ถุกครอบงำเบิกกว้างโตเกือบเท่าไข่ห่านใหญ่เมื่อมันเห็น ยิ่งอยู่ในความมืดแต่ร่างของเธอกลับเด่นชัดเจนแต่ไม่ใช่เพราะเธอเปร่งประกายแต่เพราะแลดูมืดมิดเสียเหลือเกิน

"ไม่ได้กินเลือดมนุษย์นานจนไม่มีร่างเองต้องมีสิงคนอื่นแบบนี้น่าอายนัก"
"องค์หญิงเคริเอน่า.... พระองค์มาอยู่นี่เอง....พระองค์ท่านหาตัวองค์หญิงอยู่" น้ำเสียงของเจมส์กล่าวขึ้นแม้จะแฝงความกลัวเต็มเปี่ยม
สุรเสียงหัวเราะน่าข่นลุกดังออกจากปากขององค์หญิงแห่งความมืด เย็นเฉียบจนแทบจะแช่แข็งคนทั้งเป็นได้
"หาฉันงั้นเหรอ ไอ้หมอนั้นทำไมจะไม่รู้ว่าฉันอยู่นี่ เพียงแต่ไม่มาตามก็เท่านั้นเอง" เคริเอน่าว่าเรียบๆ "บอกมา พวกแกมาเพื่อนอะไร"
"พวกเราบอกพระองค์ไม่ได้เป็นคำสั่งสูงสุดขององค์จักรพรรดิ"
เคริเอน่าถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย ในเมื่อมันเป็นคำสั่งของเฮนเทียลต่อให้เธอจะบีบแค่ไหนมันก็ไม่มีวันบอกแม้แต่คำเดียว

แกนี่มันชอบดักคอฉันอยู่เรื่อย ไอ้เฮนเทียล
"พวกเราขอแค่เลือดมนุษย์สักสองสามคนพระองค์คงไม่ว่าอะไร" เจมส์เริ่มเจรจาต่อรอง
"ไม่มีทาง พวกทูตมรณะอย่างแกไสหัวกลับเกรย์ดอฟไปดีกว่า" เวลล์ตวาด
"องค์ชายเวลล์ ยังไงซะพวกข้าก็จะกินเลือดให้ได้ ไม่ว่าใครมาขวางก็ตายทั้งนั้น"
"ออกจากร่างคนพวกนี้ซะ"
รอยยิ้มแสยะปรากฏบนใบหน้าของพวกที่โดนสิงทั้งหมดก่อนที่พวกนี้จะรุมเข้าไปจัดการกับพวกที่ยังสลบอยู่

พลังเวทย์บางอย่างเปล่าเสียงสว่างเจิดจ้าแผ่เข้าหาร่างพวกสิ่งนั้น เสียงกรีดร้องโหนหวนดังออกมาจากทุกร่างก่อนที่หมอกควันบางอย่างรูปร่างบิดเบียวเป็นรูปร่างส่วนหัวของมนุษย์โพยพุ่งออกมาจากร่างก่อนจะสลาย

หายไปในอากาศ

ทุกอย่างกลับสู่ปกติ ร่างของเจมส์และพวกรุ่นพี่ทุกคนล้มลงสลบไปเคริเอน่าที่ตอนนี้เดินเข้าไปดูอาการของฟรานที่อาการน่าเป็นห่วงที่สุดเพราะหัวใจหลุดออกมาจากร่างตก

อยู่ที่พื้นไม่ไกลนัก เขาหยิบมันขึ้นมาใส่ลงในร่างพร้อมๆกับร่ายเวทย์ไม่นานเนื้อหนังทั้งหมดที่เป็นบาดแผลก็กลับเข้าที่ร่วมทั้งแผลใหญ่ที่ขั้วหัวใจสมานตามเดิม ลมหายใจของนักดาบกลับมาอีกครั้งอย่างเหลือเชื่อ

"นายชุบชีวิตคนได้" โซรามอสแหกปากลั่นด้วยความตกใจ

"เปล่าไม่ใช่ชุบชีวิต เครอนมันแค่จัดการใส่หัวใจตามเดิม" ครอสล์กล่าวจากด้านหลัง "เมื่อกี้หัวใจของฟรานยังไม่หยุดเต้นยังสามารถรักษาอาการได้ ยังไงก็ต้องขอบคุณแกวะเครอนที่แกถนัดเวทย์การรักษาไม่หยอก"
ระหว่างที่ฝ่ายนั้นคุยเรื่องการรักษาอีกฝ่ายหนึ่งกำลังคุยเรื่องเวทย์
เวลล์และเจอลาวัตเดินมาสำรวจดูร่างของผู้เคราะห์โดนครอบงำทั้งหลายที่นอนสลบแน่นิ่งอยู่พลางคิวขมวดไปพร้อมๆกัน
"พลังเวทย์แข็งแกร่งมาก"
"เวทย์ขับไล่ชั้นสูง ทำได้ไม่มีที่ติสมเป็นลูกมหาเวทย์" คำชมของเวลล์ที่หันมามองทางคนร่างเวทย์
"เออดี" เสียงดังไม่พอใจจากทางหญิงสาว "ใช่เป็นก็ไม่รีบๆใช่นะเฟ้ย ต้องปล่อยให้ฉันออกโรงมาหน้าแตกอีก เซ็งจริงๆ"
"รู้สิว่าเส้นเจ้าหญิงของเกรย์ดอฟมันจะไม่ได้เรื่อง" ครอสล์พูดตอกย้ำ
"สิวะ ยศฉันมันยังต่ำกว่าไอ้นั้นมันนี่หว่าพี่จะเอาอะไรนักหนา" เคริเอน่าขึ้นเสียงท่าทางรำคาญ "อีกอย่างนะคารอส แกใช้เป็นทำไมไม่รู้จักใช้ รู้ไหมว่าเดือดร้อนฉันแค่ไหน"
คนโดนกล่าวหาว่าทำให้เดือดร้อนเลิกคิ้ว
"ฟะ ดูดิ ได้ข่าวว่าพวกแกเดือดร้อนฉันก็รีบบึ่งมาทันทีผมเผมอก็ยังตัดไม่เสร็จเลยแหว่ง แถมรีบตัดยังกินนิ้วตัวเองเข้าไปอีก รู้ไหมว่ามันเจ็บ"
เจ้าตัวไม่ว่าเปล่าชูนิ้วชี้ที่โพกผ้าพันแผลหนาเป็นนิ้วให้เพื่อนๆดูอีก
"ไหนๆดูหน่อย" ครอสล์รีบขว้านิ้วชี้น้องตัวเข้าให้อย่างไม่ต้องเกรงใจ
"จ๊าก!!!!!!!!!!!!!!!!!!"
ไอ้พี่บ้ามาแกล้งกันได้ คอยดูๆ จะแก้แค้นให้เข็ด

พวกเพื่อนๆพากันอมยิ้มกันยกใหญ่ มันเป็นคนเก่งเวทย์รักษาแต่กลับพันผ้าพันแผลไม่เป็น เป็นหมอคงได้พันแผลคนปิดจมูกตาย ภาพสองพี่น้องถีบกันไปทั่วลานโดยที่น้องไม่ได้ดูว่าตัวเองอยู่ในร่างผู้หญิงส่วนพี่ชายเองก็ไม่ได้ดูเลยว่าน้องเป็นผู้หญิง เรียกเอาท่านผู้ชมถอนหายใจ

"เครอน นายจะตัดผมทำไม" คำถามจากคนพูดน้อยดังขึ้นขัดสงครามพี่น้อง
"ฉันรำคาญ" เคริเอน่าตอบกลับไปพร้อมกับเสยผมอย่างที่ทำประจำ "และก็ไม่จำเป็นต้องไว้หนิ กฎโรงเรียนก็ไม่ได้บอกว่าผู้หญิงต้องไว้ผม รุงรังจะตาย"

คารอสรู้สึกผิดหวังนิดๆเพราะเขายังจำภาพแรกที่เห็นมันในร่างผู้หญิงได้ หญิงสาวผมยาวยักศกปลายๆสะท้อนกับแสงจันทร์เป็นประกายทองจับตา แต่มันรำคาญมันตัดก็เป็นสิทธิของมันเขาไม่คิดจะห้าม

"คุณคารอส เมื่อกี้พูดกับใครเหรอครับ" เจมส์ที่รู้สึกตัวเล้วพูดขึ้น บาดแผลเก่าหายไปแล้วด้วยเวทย์ของสามคนนั้น
"ก็เครอน..."
"ไหนหรือครับคุณเครอน ผมไม่เห็นๆเลย"

ทุกคนหายไปหมดแล้ว ทั้งเวลล์ เจอลาวัต เคริเอน่ารวมทั้งรุ่นพี่ปีสี่ทั้งหมด แต่ไม่นานพลุแดงก็ถูกจุดขึ้นไม่ไกลนักด้วยพลังเวทย์ของคนที่คุ้นเคย เวลล์ใช้เวทย์เคลื่อนย้ายคนออกมาได้ทันเวลาแล้วเครอนจุดพลุช่วยเรียกพวกปีสี่ออกจากการแข่งไปแล้ว
"คุณคารอส ผมไม่ดีเองครับที่โดนพลังเวทย์จากกระจกสลบไป"
"ว่าไงนะ"

"ก็ตอนผมอาสาไปทดลองเวทย์กระจกนั้นผมโดนเวทย์จนสลบไปและยังทำเอาคนอื่นๆสลบด้วยอีก ผมมันแย่จัง"
"เจมส์นายจำเรื่องที่โดนเข้าสิงไม่ได้เหรอ"
"เข้าสิง" เจมส์ขมวดคิ้ว "เรื่องอะไรเหรอครับ"
เวทย์เปลี่ยนความทรงจำของเจอลาวัต
"เออ เราสลบไปนานแค่ไหนแล้วเนี่ย" ฟรานลุกขึ้นมาถาม
"เฮ้ย!!!!"
เสียงอุทานจากเอ็นทรี่ที่เหลือบมองดูนาฬิกาการแข่งที่อาจารย์ให้มา แววตาแตกตื่น
"เลยเวลามา10นาทีแล้ว"
ในที่สุดนักเรียนชั้นปีหนึ่งทั้งหมดเป็นอันต้องลืมทุกอย่างในชีวิตเมื่อใส่เกียร์ผีเหยียบมิดวิ่งอ้าวออกจากประตูเวทย์ไปด้วยความเหนื่อยแทบขาดใจ เป็นภาพที่ประทับใจต่อบรรดาท่านผู้ชมที่ลงขันปีหนึ่งเป็นอย่างมากจนแทบฆ่าทิ้ง เพราะเจ้าตัวแสบเล่นพูดโปรโมทไว้อย่างดีว่าให้แทงปีหนึ่ง
บอกแล้วว่าวิชามารไม่เข้าใครออกใคร

Free Web Hosting